03/28/2024

Huion เปิดตัว “Q620M” แท็บเล็ตรุ่นแรกในซีรีส์ Inspiroy Dial ในมหกรรม Hong Kong Electronics Fair

 

 

 

Huion Animation Technology เข้าร่วมมหกรรม Hong Kong Electronics Fair 2019 พร้อมเปิดตัวกราฟิกแท็บเล็ตรุ่นใหม่ล่าสุด “Q620M” แท็บเล็ตรุ่นแรกในซีรีส์ Inspiroy Dial ซึ่งคว้ารางวัล Taiwan Golden Pin Design Award 2019 เพื่อให้ผู้เข้าชมงานได้ทดลองใช้จริง

 

แท็บเล็ต Inspiroy Dial Q620M มาพร้อม dial controller (ปุ่มควบคุมแบบหมุน) ที่ทำให้สร้างสรรค์ผลงานได้อย่างราบรื่นไม่มีสะดุด ด้วยทางลัดที่ช่วยให้ทำงานง่ายขึ้นและได้ผลงานมากขึ้นในทุกๆวัน โดยศิลปินสามารถใช้ dial controller ปรับรูปแบบแปรงและผืนผ้าใบ เลือกสี และยกเลิกลายเส้นเพื่อแก้ไขใหม่ พนักงานออฟฟิศสามารถใช้ dial controller เลื่อนอ่านบทความต่างๆ และซูมเข้าซูมออกอย่างอิสระขณะท่องเว็บ นักตัดต่อวิดีโอสามารถใช้ dial controller เป็นตัวหยุดหรือเลื่อนดูวิดีโอ dial controller จะกำหนดนิยามใหม่ของการสร้างสรรค์ผลงาน แค่หมุนคุณก็จะพบกับความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด

 

แท็บเล็ตรุ่นนี้ยังมีฟังก์ชันอีกมากมายที่จะเติมเต็มความคาดหวังของผู้ใช้งาน เช่น ความเร็วในการรายงานผล 266PPS ช่วยให้วาดภาพได้อย่างลื่นไหลไม่มีแล็กหรือเส้นแตก ไม่ว่าจะวาดเร็วแค่ไหนปากกาก็ตอบสนองได้ทันที และมีความไวต่อแรงกด 8,192 ระดับ ทำให้ทุกเส้นที่วาดดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นเพราะมีน้ำหนักต่างกันตามแรงกด นอกจากนี้ ความสามารถในการเชื่อมต่อแบบไร้สายและแบตเตอรี่อึดทนนาน 20 ชั่วโมงทำให้ไม่มีสายต่างๆ มาเกะกะการทำงาน ช่วยให้ผู้ใช้บันทึกแรงบันดาลใจได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ไฟบนปุ่มกดยังบ่งบอกสถานะแบตเตอรี่แบบเรียลไทม์ ทำให้ผู้ใช้มีเวลาเตรียมตัวโดยไม่ต้องกลัวแบตหมด ต่างจากอุปกรณ์ดิจิทัลทั่วไปที่แจ้งเตือนเมื่อแบตใกล้หมดเท่านั้น

 

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านกราฟิกแท็บเล็ต Huion มุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดียิ่งขึ้นเพื่อนักสร้างสรรค์ทั่วโลก สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.huion.com

ประกาศรับกลุ่มสตาร์อัพครั้งที่สอง เพื่อตอบรับกับการเติบโตอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจอินเทอร์เน็ตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

 

 

Surge รายการที่เปิดตัวในปีนี้โดย Sequoia India  เติบโตอย่างรวดเร็วจากกลุ่มสตาร์อัพรุ่นใหม่ในอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาวันนี้ได้ประกาศ 20 นวัตกรรมใหม่จากกลุ่ม
สตาร์อัพที่ได้รับการคัดเลือกสำหรับรายการ Surge 02 2019
รวมถึงประกาศเปิดรับสมัครรายการ Surge 03 2020

 

ในช่วงระยะเวลา 9 เดือนนับตั้งแต่เปิดตัวในเดือนมีนาคม 2562 Surge ได้เติบโตอย่างต่อเนื่องสู่สายตาของผู้ก่อตั้งบริษัทมากกว่า 80 แห่ง จากสตาร์อัพ 37 บริษัท ใน 6 ประเทศ โดยรายการดังกล่าวได้รวมเงินทุนจำนวน 1 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มเป็น 2 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับสตาร์อัพแต่ละราย พร้อมกับการทำเวิร์กช็อป การจัดทริปสู่แหล่งนวัตกรรมโลก และการสนับสนุนจากกลุ่มคนต่างๆ เช่น พี่เลี้ยง และผู้ก่อตั้งบริษัทจากที่ต่างๆ รายการ Surge 02 2019 มีกลุ่มผู้เข้าร่วมจากสตาร์อัพ 20 แห่ง ซึ่งได้คิดค้นนวตกรรมในการแก้ปัญหาด้านต่างๆ จากหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น อินเทอร์เน็ตสำหรับกลุ่มคน เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (EdTech) เทคโนโลยีเพื่อผู้สูงวัย (AgTech)  พลังงานสะอาด (Clean Energy) การค้าขายผ่านระบบโซเชียล (Social Commerce) ฟินเทค (Fintech) ซอฟต์แวร์ในรูปแบบบริการ (SaaS) หุ่นยนต์ และ การสร้างภาพลักษณ์แบรนด์  โดยมีสตาร์อัพจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าร่วม 8 บริษัท

 

รายการ Surge เป็นการริเริ่มของบริษัท Sequoia India ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนสตาร์อัพมากกว่า 250 แห่งในอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น Tokopedia, Gojek, Zilingo, One Championship และ Carousell

 

ทั้งนี้จากการศึกษาของเทมาเสก กูเกิล และเบรน ในปี 2562  เศรษฐกิจอินเทอร์เน็ตที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีมูลค่าประมาณ 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2562 และได้รับการคาดการณ์ว่าจะแตะมูลค่าตลาดมากกว่า 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2568 ซึ่งปรากฎการณ์ดังกล่าวจะส่งผลโดยตรงต่อภาพรวมของระบบนิเวศน์ในภูมิภาค

 

นายราจาน อนันแดน กรรมการผู้จัดการ รายการ Surge บริษัท Sequoia Capital India กล่าวว่า “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นตลาดที่เติบโตอย่างเต็มที่ อัตราการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ และการเติบโตของผู้ใช้งานรายวันอยู่ในระดับสเกลขนาดใหญ่ ซึ่งเปิดโอกาสให้กับทุกๆ สิ่งให้เป็นไปได้สำหรับผู้ก่อตั้งสตาร์อัพ ด้วยข้อมูลเจาะลึก และความคิดสร้างสรรค์ด้านนวัตกรรม อย่างไรก็ดี ในทุกๆ ประเทศต่างก็มีช่องว่างที่จะเติบโตได้ และในทุกๆ อุตสาหกรรม” นอกจากนี้นายราจาน ยังกล่าวเสริมว่า “สำหรับผู้ก่อตั้งที่มีเป้าหมายเป็นสิ่งผลักดัน และต้องการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่แตกต่าง และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม นี่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม”

 

การสร้างบริษัท โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้น เป็นสิ่งที่ท้าท้ายอย่างมาก เพราะต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการสร้างผลิตภัณฑ์ชิ้นแรก ว่าจ้างวิศวกรคนแรก และหาลูกค้าคนแรกให้ได้ ผู้ก่อตั้งบริษัทจำนวนมากในภูมิภาคนี้ ต่างรู้สึกว่าใช้พละกำลังและเวลาค่อนข้างมากในการวางรากฐานเพื่อสร้างธุรกิจของตน

รายการ Surge ได้รับการออกแบบเพื่อช่วยเหลือผู้ก่อตั้งบริษัทโดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้น กับภาระต่างๆ ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ทรัพยากรต่างๆ พี่เลี้ยง และผู้เชี่ยวชาญที่จะคอยช่วยเหลือและชี้แนะแนวทางให้กับเหล่าสตาร์อัพ

 

คุณสมบัติที่สำคัญในรายการ ประกอบด้วย

  • แหล่งเงินทุน: ผู้ก่อตั้งจะได้รับเงินทุนจาก 1 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 2 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการขอทุนในรอบแรก เพื่อว่าจ้างพนักงานและสร้างผลิตภัณฑ์ของตน

 

  • แหล่งชุมชน: ผู้ก่อตั้งจะได้เรียนรู้ เติบโต และแบ่งปันประสบการณ์ในการทำธุรกิจกับผู้ร่วมก่อตั้งคนอื่นๆ ที่มาจากพื้นภูมิและมุมมองจากแหล่งต่างๆ ผู้ก่อตั้งบริษัทเหล่านี้จะได้ทำงานร่วมกันกับโค้ชจาก Sequoia อย่างใกล้ชิด รวมถึงผู้ร่วมก่อตั้งอื่นๆ เช่น นายวิลเลี่ยม ทนุวิจยะ จาก Tokopedia นายนาเดียม มาการิม จาก GoJek นายชาตรี สิทยศธง จาก One Championchip, นาย Quek Siu Rui จาก Carousell นายแอนกิติ บอส จาก Zillingo และผู้ประกบอการคนอื่นๆ ที่เป็น พี่เลี้ยงจาก Surge ที่อยู่ในเครือข่ายของ Sequoia

 

  • การสนับสนุนสร้างบริษัท: มีการจัดทำเวิร์กช้อป และสัมมนาให้กับสตาร์อัพ นับตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน ในการเป็นผู้นำ วัฒนธรรม การว่าจ้างคน และการสร้างองค์กรแบบชนะทุกฝ่าย เพื่อออกแบบทางเลือก ผลิตภัณฑ์ และขยายขนาด ไปจนกระทั่งถึงการทำตลาด และการวางตำแหน่งแบรนด์สินค้า ผู้ก่อตั้งบริษัทจะได้รับคำแนะนำ และความช่วยเหลือในการว่าจ้างด้านต่างๆ รายการ 10xE จาก Surge จะช่วยเชื่อมโยงผู้ก่อตั้งกับคนเก่งด้านเทคโนโลยีที่ถูกคนนับตั้งแต่เริ่มต้น หนึ่งในผู้ร่วมรายการจาก Surge 01 2019 คือ Telio จากเวียดนาม ได้ว่าจ้างวิศวกร 30 คน และ ซีทีโอ จากความช่วยเหลือของทีมเทคและทาเลนท์ ของ Surge

 

  • สัมผัสประสบการณ์จากหลากหลายแหล่ง: การจัดทริปเพื่อให้สัมผัสประสบการณ์จากหลากหลายแหล่ง สู่ดินแดนแห่งต้นกำเนิดของนวัตกรรม นั่นคือ ซิลิคอน วัลเล่ย์ จีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอินเดีย จะช่วยให้ผู้ก่อตั้งได้มีโอกาสสัมผัสกับระบบนิเวศน์ของสตาร์อัพระดับโกลบอล

รายการ Surge ได้รับการออกแบบให้เป็น “สถาปัตยกรรมแบบเปิด” และสนับสนุนนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในช่วงเริ่มต้น ข้อเท็จจริงคือ 80% ของสตาร์อัพในรุ่น Surge 02 2019  ได้ผู้ร่วมลงทุนนับตั้งแต่รอบที่ Surge จัดทำ เพราะผู้ก่อตั้งเหล่านั้นได้มีโอกาสพรีเซ็นต์ผลงานต่อกลุ่มนักลงทุนและวางกลยุทธ์ขนาดใหญ่ในช่วงท้ายของรายการ

 

รายการ Surge เป็นรายการในช่วง 5 สัปดาห์ ซึ่งจะได้รับการกล่าวถึงในช่วง 16 สัปดาห์ และมีการจัดรายการปีละ สองครั้ง

สามารถส่งใบสมัครเข้าร่วมรายการ Surge 03 2020 ได้แล้วววันนี้ ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

 

แคสเปอร์สกี้เผยผลสำรวจผู้ใช้ APAC ‘สนใจใคร่รู้แต่ขาดความระแวดระวัง’ ยอมเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวเพื่อเล่นควิซและชิงของฟรีออนไลน์

 

 

 

เร็วๆ นี้ แคสเปอร์สกี้เปิดเผยรายงาน Global Privacy Report 2018 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 39.2% เต็มใจที่จะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวเพื่อให้ได้ความปลอดภัยเพิ่มเติม อย่างเช่นการตรวจสอบหรือสอดส่องความปลอดภัยออนไลน์ ผู้ตอบแบบสอบถาม 22% สารภาพว่าแชร์ข้อมูลโซเชียลมีเดียเพื่อเล่นควิซต่างๆ ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถาม 18.9% ยอมรับว่ายอมสละความเป็นส่วนตัวเพื่อรับสินค้าและบริการฟรี เช่น ซอฟต์แวร์หรือของขวัญอื่นๆ

 

รายงานยังเปิดเผยว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่าครึ่งหรือ 55.5% ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกช่วงอายุ 16-24 ปี และ 25-34 ปี คิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีความเป็นส่วนตัวครบถ้วนสมบูรณ์ในโลกดิจิทัลสมัยใหม่

 

ข้อมูลส่วนตัว เช่น ที่อยู่ วันเกิด รูปถ่าย ทำให้พบเจอเพื่อนและครอบครัวได้ง่ายขึ้นในเน็ตเวิร์ก แต่โซเชียลมีเดียหลายรายก็ถูกรายงานว่าแอบสอดส่องผู้ใช้และกลายเป็นเป้าโจมตีของอาชญากรไซเบอร์ ผู้ตอบแบบสอบถาม 53.6% ระบุว่ามีผู้อื่นเคยเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลความลับโดยเจ้าตัวไม่ได้ยินยอม อัตราการรุกล้ำเข้าข้อมูลส่วนตัวออนไลน์เพิ่มสูงสุดที่กลุ่มผู้ใช้อายุ 16-24 ปี ที่ 57.1% ผู้ตอบแบบสอบถามยังระบุด้วยว่า ข้อมูลรั่วไหลทำให้ตนเองถูกรบกวนด้วยโฆษณาและเมลสแปมต่างๆ อีกทั้งยังทำให้เครียดและอับอายอีกด้วย

 

จากรายงานของแคสเปอร์สกี้ฉบับนี้ชี้ว่า ผู้ใช้ออนไลน์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเริ่มตระหนักถึงภัยคุกคามออนไลน์ด้วยมีตัวเลขผู้ใช้ถึง 56.7% ที่เลือกป้องกันดีไวซ์ของตนเองด้วยการใช้งานพาสเวิร์ด แต่ก็ยังขาดความระมัดระวังเมื่อแชร์สิ่งต่างๆ ในโซเชียลมีเดีย ทำให้ตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายและบ่อยครั้งที่ก่อให้เกิดผลร้ายตามมาในระยะยาว

นายโย เซียง เทียง ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แคสเปอร์สกี้ กล่าวว่า “รายงานของเราแสดงให้เห็นชัดว่า การตระหนักเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลในภูมิภาคนี้เพิ่มสูงขึ้นจริง แต่ก็ยังมีการใช้ข้อมูลอย่างผิดๆ อย่างแรกคือการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวในโซเชียลมีเดียเพื่อแลกกับควิซประเภท ‘เราเป็นดอกไม้ชนิดไหน’ เป็นต้น ซึ่งสำหรับบริษัทขนาดใหญ่แล้วอาจมองว่าไม่มีพิษภัยอะไร แต่ในยุคดิจิทัลที่กระแสการใช้ดีไวซ์ส่วนตัวในการทำงาน หรือ BYOD การขโมยข้อมูลของพนักงานเพียงหนึ่งคน อาจกลายเป็นความล้มเหลวในการปกป้องออนไลน์ขององค์กรทั้งระบบ”

 

แคสเปอร์สกี้ขอแนะนำวิธีการปกป้องความเป็นส่วนตัวในโลกออนไลน์และใช้งานข้อมูลอย่างถูกต้อง ดังนี้

  • คิดทบทวนก่อนโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย พิจารณาผลที่จะตามมาหากข้อมูลนั้นจะเปิดเผยสู่สาธารณะ เช่น ข้อมูลนี้จะทำให้เกิดความเสียหายในปัจจุบันหรืออนาคตหรือไม่
  • เก็บพาสเวิร์ดบัญชีออนไลน์ต่างๆ เฉพาะตัวเองรู้เท่านั้น การใช้งานบัญชีร่วมกับเพื่อนและคนในครอบครัวอาจดูเป็นความคิดที่ดี แต่เป็นไปได้ว่าพาสเวิร์ดนี้อาจตกไปอยู่ในมือมิจฉาชีพได้
  • รักษาความเป็นส่วนตัวออนไลน์อย่างจริงจัง การแชร์หรืออนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลแก่ผู้ผลิตแอปพลิเคชั่นเมื่อจำเป็นเท่านั้น เพื่อลดการเปิดเผยข้อมูลที่มิจฉาชีพกำลังรอคอย
  • การใช้ผลิตภัณฑ์หรือโซลูชั่นเพื่อความปลอดภัยจะช่วยลดภัยคุกคามออนไลน์ได้ โซลูชั่น Kaspersky Security Cloud และ Kaspersky Internet Security เมื่อใช้ร่วมกับ Kaspersky Password Manager จะช่วยเก็บรักษาข้อมูลดิจิทัลอันมีค่าให้ปลอดภัย

 

แล็ปท็อปที่มาพร้อมโปรเซสเซอร์ Intel® CoreTM เจนเนอเรชั่น 10 พร้อมจำหน่ายแล้วในประเทศไทย

 

 

 

อินเทล (Intel) เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ประเทศไทยแล้ววันนี้กับโปรเซสเซอร์ Intel® Core™ เจนเนอเรชั่น 10 โปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ล่าสุดที่ผสานเทคโนโลยีชั้นนำไว้ด้วยกันโดยในงานเปิดตัวที่จัดขึ้นในกรุงเทพฯ นั้น มีผู้ผลิตคอมพิวเตอร์หลายรายร่วมจัดแสดงแล็ปท็อป และ

แล็ปท็อปแบบ 2-in-1 รุ่นใหม่ ซึ่งมีดีไซน์ที่สวยงามโดดเด่นหลากหลายรุ่น และใช้โปรเซสเซอร์ Intel® CoreTM เจนเนอเรชั่น 10 รุ่นใหม่ล่าสุดดังกล่าว

 

โปรเซสเซอร์ Intel® CoreTM เจนเนอเรชั่น 10 รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ นำเอาสมรรถนะขั้นสูงของปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ นอกจากนั้นยังมีเทคโนโลยีการเชื่อมต่อที่ดีที่สุดด้วย Intel® Wi-Fi 6 (Gig+) และThunderbolt™ 3 พร้อมทั้งประสิทธิภาพของ Intel® Iris® Plus Graphics ที่นำมาซึ่งประสบการณ์ด้านการแสดงภาพและกราฟิกที่สวยงามสมจริง น่าประทับใจ

 

แบรนด์คอมพิวเตอร์ชั้นนำที่นำแล็ปท็อปหลากหลายรุ่นที่ใช้โปรเซสเซอร์ Intel® CoreTM เจนเนอเรชั่น 10  มาจัดแสดง ได้แก่ เอเซอร์ เอซุส เดล เอชพี เลอโนโว และเอ็มเอสไอ ผู้บริโภคและบริษัทต่างๆ ในประเทศไทยสามารถเลือกใช้แล็ปท็อปที่ใช้โปรเซสเซอร์ Intel® CoreTM เจนเนอเรชั่น 10 ที่มีวางจำหน่ายแล้วในตอนนี้ถึง 28 รุ่น และยังมีอีกหลายรุ่น หลากหลายดีไซน์ที่กำลังทยอยเปิดตัวในตลาดก่อนสิ้นปีนี้

 

“เราเชื่อมั่นว่าโปรเซสเซอร์ Intel® CoreTM เจนเนอเรชั่น 10 ที่มาพร้อมกับ Intel® Iris® Plus Graphics จะเป็นที่สนใจของบรรดาผู้เล่นเกมทั่วไป ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ของตลาดผู้บริโภคที่ใช้พีซีในประเทศไทย ด้วยประสิทธิภาพด้านกราฟิกที่ดีขึ้นถึงสองเท่า ทำให้โปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ล่าสุดนี้สามารถเล่นเกมด้วยความละเอียดในการแสดงผลถึง 1080p และสร้างสรรค์คอนเทนต์ขั้นสูง เช่น การตัดต่อวิดีโอ 4K และใส่ฟิลเตอร์ในวิดีโอได้อย่างรวดเร็ว ตลอดจนสามารถประมวลผลภาพถ่ายความละเอียดสูงได้ทุกที่ทุกเวลา” นายซานโตช วิศวะนาธาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทล ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น กล่าว

 

ทั้งนี้ อินเทลยังได้จัดแสดงนวัตกรรมบางส่วนในโครงการ Project Athena ที่เพิ่งเปิดตัวในประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วย แล็ปท็อปเดล รุ่น Dell Inspiron 7391 (แบบ 2 in 1) และ Dell XPS 13 (2 in 1) รวมถึง

แล็ปท็อปเลอโนโว รุ่น Lenovo Yoga C940 และรุ่น Lenovo Yoga S740

 

ทั้งนี้ Project Athena เป็นโครงการนวัตกรรมที่ใช้เวลาหลายปีและนำร่องโดยอินเทล เพื่อจัดทำเกณฑ์มาตรฐานสำหรับพีซี และยกระดับนวัตกรรมแล็ปท็อป โดยมีเป้าหมายของโครงการคือการนำเสนอแล็ปท็อปที่มีประสิทธิภาพสูง ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถจดจ่อกับสิ่งที่ต้องการได้ง่ายขึ้น พร้อมใช้งานอยู่เสมอ และรองรับกับบทบาทที่แตกต่างกันตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการทำงาน การศึกษา ไปจนถึงกิจกรรมที่คนในครอบครัวชื่นชอบและสนใจทำร่วมกัน เพื่อความความบันเทิงและอื่นๆ อีกมากมาย

 

 

 

TikTok ชูกลยุทธ์ Content Diversification เดินหน้าขยายฐานคอนเทนต์

 

 

 

TikTok แพลตฟอร์มสร้างสรรค์วิดีโอสั้นชั้นนำระดับโลก มุ่งหน้าสานต่อกลยุทธ์ Content Diversification หรือการนำเสนอคอนเทนต์ที่มีความหลากหลายในแต่ละประเภทความสนใจ เพื่อให้ผู้ใช้ TikTok ได้เลือกสรร คอนเทนท์ที่เหมาะกับความต้องการและความชอบส่วนบุคคล นอกจากนี้ยังเป็นการขยายฐานผู้ใช้ TikTok จากกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ไปสู่กลุ่มผู้ใช้ที่มีความหลายหลายในด้าน demographic มากยิ่งขึ้น ดังจะเห็นได้จากคอนเทนต์ประเภทใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมาและได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงบนแพลตฟอร์ม ได้แก่ ฟิตเนส สัตว์เลี้ยง ท่องเที่ยว อาหาร และที่ขาดไม่ได้สำหรับคนไทยซึ่งเป็นคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมตลอดกาล คือ เนื้อหาประเภทตลก

 

ปัจจุบัน TikTok จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่พื้นที่ให้ผู้ใช้ได้เข้ามาถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ผ่านเสียงเพลงและการร้องเพลงเท่านั้น แต่ยังเปิดพื้นที่ให้ผู้คนได้มาเรียนรู้สิ่งใหม่ แบ่งปันสาระความรู้และเรื่องราวต่างๆ ในชีวิต รวมถึงความถนัด และความสามารถในด้านต่างๆ

 

ล่าสุด TikTok เปิดคลาสเรียนออนไลน์บนแฟลตฟอร์มที่เรียกว่า #TikTokติวเตอร์ สำหรับคลาสที่เปิดในห้องเรียน ออนไลน์ช่วงแรกนี้จะเน้นให้ความรู้ด้านภาษาต่างประเทศทั้งอังกฤษ จีน และเกาหลี ซึ่งเป็นภาษาที่ได้รับความนิยม มากขึ้นเรื่อยๆ ไปดูกันหน่อยดีกว่าว่า ครูคนดังที่มาเปิดสอนภาษาต่างๆ มีใครกันบ้าง

 

 

 

ครูเบนซ์ หรือ Duffus English ทำให้การเรียนภาษาอังกฤษไม่น่าเบื่ออีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการยกตัวอย่างคำที่เรารู้จัก
กันอยู่แล้วแต่นำมาประยุกต์ใช้ในบริบทอื่นๆ หรือการสอนคำแสลง (Slang Words) ที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ได้ในชีวิต ประจำวัน

 

ครูมอลลี่จากสถานบันสอนภาษา PP Tutor ที่จะแนะนำคำศัพท์ภาษาจีนง่ายๆ โดยแต่ละคลิปจะพูดถึงคำศัพท์แยกเป็น หมวดหมู่แตกต่างกันออกไป นอกจากนี้แต่ละคำที่ครูมอลลี่แนะนำนั้น จะมีวิธีการเขียนในภาษาจีนกลางและคำอ่านพินอิน พร้อมทั้งตัวอย่างการออกเสียงแบบเจ้าของภาษาจากครูมอลลี่ บอกเลยว่า ภาษาจีนจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

 

ภาษาเกาหลีกับเจ้าของภาษา โอปป้ามีน (승민 ซึงมิน)  ที่มาพร้อมคำศัพท์ง่ายๆ ใช้ได้จริงที่เรามักจะได้ยิน จากซีรีส์เกาหลีบ่อยๆ ใครเป็นแฟนซีรีส์หรือแฟนคลับวงไหนรับรองว่า ได้ทั้งความรู้ได้ทั้งความสนุก จะดูซีรีส์ หรือฟังเพลงเกาหลีก็ได้อรรถรสมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

 

นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างของติวเตอร์ที่เข้ามาร่วมโรงเรียนออนไลน์บน TikTok ติดตามกันต่อไปให้ดี เพราะยังมีคุณครู และคลาสสอนอีกมากมายให้คุณได้ร่วมเรียนรู้และสนุกสนานไปกับมัน โดยคุณเองก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งของห้องเรียน ออนไลน์นี้ได้ เพียงแค่แบ่งปันวิดีโอเสริมสร้างความรู้ พร้อมติด #TikTokติวเตอร์

 

ซิสโก้ และ เอ.ที. เคียร์เน่ เผย 5G ช่วยเพิ่มรายได้ต่อปีของผู้ให้บริการโทรคมนาคมในไทย มากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ (หรือกว่า 34,000 ล้านบาท)

 

 

 

ผลการศึกษาล่าสุดจากบริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการระดับโลก บริษัท เอ.ที. เคียร์เน่ ภายใต้การมอบหมายจากซิสโก้ ผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลก ชี้ว่า การเปิดตัวบริการ 5G จะช่วยเพิ่มรายได้ต่อปีของผู้ให้บริการโทรคมนาคมในไทยได้มากถึง 1.1 พันล้านดอลลาร์ (หรือกว่า 34,000 ล้านบาท) ภายในปี 2568

 

ผลการศึกษาเน้นย้ำว่า 5G จะรองรับการเชื่อมต่อที่เร็วขึ้น 50 เท่า พร้อมความรวดเร็วในการตอบสนองที่มากขึ้น 10 เท่า และใช้พลังงานในการเชื่อมต่อน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับ 4G  ซึ่งนับเป็นคุณลักษณะเด่น 3 ข้อที่สำคัญ ได้แก่ การรับส่งข้อมูลที่รวดเร็ว การหน่วงเวลาต่ำ และการเชื่อมต่อที่ใช้พลังงานต่ำ

 

ความเร็วสูง การหน่วงเวลาต่ำ และการเชื่อมต่อที่ปรับปรุงดีขึ้น คือปัจจัยหลักที่จะช่วยให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมสามารถจัดหาบริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่เร็วเป็นพิเศษ สามารถรองรับการสตรีมวิดีโอความละเอียดสูง การเล่นเกมผ่านระบบคลาวด์ และการนำเสนอคอนเทนต์แบบอินเทอร์แอคทีฟที่ขับเคลื่อนด้วย Augmented Reality และ Virtual Reality (AR/VR) ให้แก่ผู้บริโภค  นอกจากนี้ยังช่วยผลักดันการใช้งาน 5G ในหลากหลายรูปแบบที่ก้าวล้ำมากขึ้น เช่น สมาร์ทซิตี้, อุตสาหกรรม 4.0, เครือข่าย IoT (Internet of Things) ขนาดใหญ่ และอื่น ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมสามารถเพิ่มรายได้ทั้งจากกลุ่มผู้บริโภคและลูกค้าองค์กร

 

รายงานผลการศึกษาดังกล่าว ซึ่งมีชื่อว่า 5G ในอาเซียน: จุดประกายการเติบโตในตลาดองค์กรและผู้บริโภค (5G in ASEAN: Reigniting growth in enterprise and consumer markets) ระบุว่า ประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่จะเปิดตัวบริการ 5G ในปี 2564 โดยคาดว่าการเติบโตในระยะแรกหลังจากที่ปรับใช้เทคโนโลยี 5G จะมาจากลูกค้าระดับสูงที่มีอุปกรณ์รองรับ และฐานลูกค้าจะค่อยๆ ขยายตัวเมื่ออุปกรณ์ที่รองรับมีราคาลดลง

 

ด้วยเหตุนี้ จึงคาดการณ์ว่าสัดส่วนการใช้งาน 5G จะอยู่ที่ประมาณ 25 ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ในประเทศหลักๆ ในภูมิภาคอาเซียนภายในปี 2568 โดยในประเทศไทย สัดส่วนการใช้งาน 5G จะมีถึง 33 เปอร์เซ็นต์  และคาดว่าจำนวนลูกค้า 5G ทั้งหมดในภูมิภาคอาเซียนจะเกิน 200 ล้านรายในปี 2568

นายนาวีน เมนอน, ประธานประจำภูมิภาคอาเซียนของซิสโก้ กล่าวว่า “นับเป็นช่วงเวลาที่ดีในการเปิดตัวการให้บริการ 5G สำหรับผู้ให้บริการโทรคมนาคม เพราะปัจจุบันการรับส่งข้อมูลบนระบบเซลลูลาร์กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้ใช้มีการใช้งานบริการและคอนเทนต์ต่างๆ บนอุปกรณ์ส่วนบุคคลเพิ่มมากขึ้นขณะเดียวกัน องค์กรต่าง ๆ ก็มองหาหนทางในการใช้ประโยชน์จากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สี่ (4IR – Fourth Industrial Revolution) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI, IoT, ระบบการพิมพ์ 3 มิติ, ระบบหุ่นยนต์ขั้นสูง และอุปกรณ์สวมใส่ เพื่อผลักดันการเติบโตของธุรกิจ การปรับใช้เทคโนโลยีเหล่านี้จะสำเร็จได้จำเป็นต้องอาศัยการเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมสำหรับผู้ให้บริการโทรคมนาคมในการขยายฐานธุรกิจในตลาดองค์กร และสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว”

 

 

 

นายวัตสัน ถิรภัทรพงษ์, กรรมการผู้จัดการซิสโก้ประจำประเทศไทยและภูมิภาคอินโดจีนกล่าวว่า“ ธุรกิจทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคสำคัญ ๆ เช่นภาคการผลิตกำลังมองหาเทคโนโลยี 4IR การเปิดให้บริการ 5G ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะเร่งการปรับใช้เทคโนโลยี และนำประโยชน์มหาศาลมาสู่องค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันผู้บริโภคยังรอคอยการเปิดตัว 5G เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้เนื้อหาบนอุปกรณ์ส่วนตัวของพวกเขา แนวโน้มทั้งสองนี้จะมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า”

 

ผู้ให้บริการโทรคมนาคมกำลังเตรียมพร้อมที่จะเปิดตัวบริการ 5G โดยมีแนวโน้มว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์ (300,000 ล้านบาท) เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 5G ในภูมิภาคอาเซียนภายในปี 2568

 

นายดาร์เมช มัลฮอตรา กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคอาเซียน, กลุ่มธุรกิจผู้ให้บริการโทรคมนาคมของซิสโก้ กล่าวว่า “การเปิดให้บริการ 5G จะต้องอาศัยการลงทุนจำนวนมากในด้านเทคโนโลยี เพื่อปรับปรุงเครือข่ายให้ทันสมัย สำหรับในภูมิภาคอาเซียน ผู้ให้บริการโทรคมนาคมมีแนวโน้มว่าจะลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่ออัพเกรดเครือข่าย 4G และสร้างขีดความสามารถด้าน 5G อย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะช่วยให้ระบบ 4G และ 5G ทำงานควบคู่กันไปอย่างราบรื่น ขณะที่ผู้ให้บริการจะสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในส่วนทุนและ ROI ที่ยั่งยืน  ซิสโก้ร่วมมือกับผู้ให้บริการเครือข่ายในการพัฒนาระบบ 5G และปัจจุบันมีลูกค้าหลายรายในอาเซียนที่กำลังดำเนินโครงการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบ 5G”

 

ผลการศึกษาเน้นย้ำว่า เพื่อที่จะปลดล็อคศักยภาพดังกล่าว ภูมิภาคนี้จะต้องแก้ไขปัญหาท้าทายที่สำคัญบางประการ

 

ปัญหาท้าทายที่สำคัญที่สุด ได้แก่ ย่านความถี่ที่เปิดให้ใช้งานช้าเกินไปสำหรับบริการ 5G ส่งผลให้เครือข่ายที่เปิดตัวใหม่ด้อยประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ระบบ 5G จะได้รับการติดตั้งใช้งานบนหลายย่านความถี่ โดยมี 3 ย่านความถี่หลักที่จะใช้งานทั่วโลกในระยะสั้น ได้แก่ ย่านความถี่ต่ำ (700 MHz), ย่านความถี่กลาง (3.5 ถึง 4.2 GHz) และย่านความถี่สูง บนสเปกตรัม mmWave (24 ถึง 28 GHz) ในภูมิภาคอาเซียน ย่านความถี่เหล่านี้กำลังถูกใช้งานสำหรับบริการอื่น ๆ เช่น ย่านความถี่ต่ำใช้สำหรับฟรีทีวี และย่านความถี่กลางใช้สำหรับบริการดาวเทียม แม้ว่าสเปกตรัม mmWave จะพร้อมใช้งาน แต่ในการติดตั้งระบบ จำเป็นที่จะต้องรวมย่านความถี่ต่ำเข้าไว้ด้วย เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการขยายพื้นที่บริการให้ครอบคลุมเขตชานเมืองและชนบท รวมถึงการเชื่อมต่อภายในอาคาร

 

นอกจากนี้ ผู้ให้บริการโทรคมนาคมจะต้องสร้างกลุ่มผลิตภัณฑ์ 5G โดยกำหนดราคาอย่างรอบคอบ และโยกย้ายผู้บริโภคไปสู่เครือข่ายความเร็วสูง ผู้บริโภคมีความตื่นเต้นเกี่ยวกับ 5G และยินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อคุณภาพที่ดีกว่า ซึ่งแตกต่างเทคโนโลยี 3G และ 4G  ดังนั้นผู้ให้บริการจึงไม่ควรเข้าร่วมในสงครามตัดราคาเพียงเพื่อที่จะดึงดูดลูกค้าจำนวนมาก และหวังว่าจะสามารถคิดค่าบริการเพิ่มในภายหลัง

 

ในส่วนขององค์กรขนาดใหญ่ ผู้ให้บริการโทรคมนาคมจำเป็นที่จะต้องสร้างความสามารถใหม่ ๆ และรวมบริการเชื่อมต่อเข้ากับโซลูชั่นและแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ลูกค้าเข้าใจ ปรับใช้ และขยายการใช้งานที่ช่วยเพิ่มมูลค่า นอกจากนี้ ผู้ให้บริการจะต้องรับมือกับคู่แข่งรายใหม่ ๆ ที่ให้บริการเครือข่ายส่วนตัวแก่องค์กร

 

นายนิโคไล ดอบเบอร์สไตน์, พาร์ทเนอร์ของบ. เอ.ที. เคียร์เน่ และหัวหน้าคณะผู้จัดทำรายงานฉบับดังกล่าว กล่าวว่า “การเปิดตัว 5G ในอาเซียนมีศักยภาพโดยรวมที่สูงมาก อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มศักยภาพ ภูมิภาคนี้จำเป็นที่จะต้องแก้ไขปัญหาท้าทายที่สำคัญ โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น หน่วยงานกำกับดูแล ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และองค์กรต่างๆ เนื่องจากความท้าทายด้านอีโคซิสเต็มส์และมูลค่าที่สูงมากเป็นเดิมพัน หน่วยงานกำกับดูแลจึงต้องเข้ามามีบทบาทหลัก และจะต้องเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาสำคัญ ๆ เช่น การจัดสรรคลื่นความถี่ในระยะสั้น การสนับสนุนการใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน และการส่งเสริมการพัฒนาระบบไซเบอร์ซีเคียวริตี้ระดับประเทศ โดยครอบคลุมทั่วภูมิภาค”

 

ผลการศึกษาชี้ว่า ในประเทศไทย คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) คาดว่าจะเปิดให้ใช้คลื่นความถี่ย่าน 700 MHz โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องเทคโนโลยี และให้ผู้ได้รับใบอนุญาตสามารถเปิดตัวบริการ 5G ในเดือนธันวาคม 2563  นอกจากนี้ กสทช. เตรียมเปิดประมูลคลื่นความถี่ย่าน 2.6 GHz สำหรับ 5G ภายในปี 2563

 

โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ฉลองครบรอบ 10 ปี เปิดตัว LINE Official Account พร้อมแจกสติ๊กเกอร์ไลน์ (LINE Sticker) “พึ่งxพิง” บน LINE แอปพลิเคชันให้ดาวน์โหลดฟรีตลอดเดือนตุลาคม 2562

 

 

 

 

ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เปิดตัว โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ LINE Official Account เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางดิจิทัลในการสื่อสารส่งข้อมูลข่าวสารโครงการบริการทางการแพทย์ด้านต่างๆของโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ตลอดจนกิจกรรมเพื่อสังคม รวมถึงโครงการดีๆจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ที่จะเป็นประโยชน์สำหรับประชาชน พร้อมแจกสติ๊กเกอร์ไลน์ พึ่งxพิง ในโอกาสฉลองครบรอบ 10 ปี โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ที่ให้ดาวน์โหลดไปใช้กันได้ฟรีเพื่อเป็นการขอบคุณผู้รับบริการและเพื่อนๆที่ได้ติดตามโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ LINE Official Account โดยได้จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวซึ่งมี ศาสตราจารย์ นายแพทย์นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ พร้อมด้วย คุณแอฟ ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ, คุณหมวย อริสรา กำธรเจริญ และคุณตู่ ภพธร สุนทรญาณกิจ มาร่วมแบ่งปันเรื่องราวการใช้ประโยชน์จากการเสพสื่อโซเชียลมีเดียที่เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการใช้ชีวิตประจำวัน พร้อมเชิญชวนประชาชนให้ติดตามรับข่าวสารสาระสุขภาพจากทางโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ผ่าน Line Official Account เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2562 ณ อาคารศูนย์การแพทย์จุฬาภรณ์เฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์

 

 

 

ศาสตราจารย์ นายแพทย์นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ กล่าวว่า โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ได้ก้าวสู่การเป็นโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยภายใต้วิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ สถาบันในกำกับของรัฐที่ ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงมีพระประสงค์ให้จัดตั้งขึ้น ตามพระปณิธานที่ทรงมุ่งหวังให้ประชาชนคนไทยมีสุขภาพที่ดี และคุณภาพชีวิตที่ได้มาตรฐาน โดยมีภารกิจสำคัญในด้านของการให้บริการทางการแพทย์แบบครบวงจรครอบคลุมการรักษาโรคที่เป็นปัญหาหลักสำคัญของประเทศด้วยศูนย์แห่งความเป็นเลิศเฉพาะทางที่ทันสมัย ยกระดับการรักษาด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล เพื่อส่งมอบบริการทางการแพทย์ด้านต่างๆสู่สังคม ช่วยเหลือผู้ป่วยให้มีโอกาสเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพและสุขภาวะที่ยั่งยืนให้กับประชาชนคนไทย ประกอบกับที่ประเทศไทยกำลังก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว และสื่อสังคมออนไลน์เป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงจากการพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านการสื่อสาร และอัตราการเติบโตของจำนวนผู้ใช้งาน Smart Phone รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาเสพข้อมูลข่าวสารจากโลกออนไลน์มากขึ้นในทุกช่วงวัย ทำให้การสื่อสารและการเสพข้อมูลข่าวสารสามารถทำได้อย่างรวดเร็ ในโอกาสครบรอบ 10 ปี โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เราจึงได้เล็งเห็นการเติบโตของเทคโนโลยีและการพัฒนาบริการประชาชนเพื่อให้สอดคล้องกับพระปณิธาน โดยได้ต่อยอดพัฒนาช่องทางการสื่อสารของโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ให้สามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพการสื่อสารมากยิ่งขึ้น จึงเปิดตัวโรงพยาบาลจุฬาภรณ์บนแพลตฟอร์มของ LINE Official Account เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางการสื่อสารที่จะเข้าถึงไลฟ์สไตล์กลุ่มผู้รับบริการในยุคดิจิทัลมากขึ้น เพิ่มความสะดวกและรวดเร็วในการรับข่าวสารด้านต่างๆ ตลอดจนข้อมูลทางสุขภาพที่หวังเป็นที่พึ่งพิงยามเจ็บไข้ได้ป่วยแก่ประชาชน หรือสามารถนำมาปรับใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ พร้อมเมนูที่ง่ายต่อการใช้งาน อาทิ การเข้าถึงศูนย์การรักษาต่างๆ โครงการสุขภาพเพื่อประชาชน รวมถึงเมนู บริจาคสมทบทุนเพื่อโครงการศูนย์การแพทย์ภัทรมหาราชานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ขนาด 400 เตียง โครงการเฉลิมพระเกียรติ 90 ปี พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยโครงการดังกล่าวตั้งอยู่ภายนศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ ซอย 5 อยู่ระหว่างการดำเนินงานก่อสร้างซึ่งจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในปี พ.ศ.2565 นี้

 

สำหรับ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ LINE Official Account ได้จัดเตรียมข้อมูลที่ประโยชน์ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพรอบตัวที่จะเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งในด้านของการส่งเสริมสุขภาพลดปัจจัยเสี่ยง การป้องกันดูแลตนเองจากโรคต่างๆ เพื่อเติมเต็มการใช้ชีวิตให้ปลอดโรคในยุคดิจิทัลของประชาชนให้ได้มากที่สุด พร้อมยกระดับการรักษากับศูนย์การรักษาต่างๆของโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ รู้จักแพทย์เฉพาะทางด้านต่างๆได้ในเมนู ศูนย์การรักษา ซึ่งสามารถกดโทรออกเพื่อนัดหมายบริการที่สนใจได้ทันที หรือผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมบริจาคสมทบทุน พัฒนาต่อยอดสู่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยในโครงการ  ศูนย์การแพทย์ภัทรมหาราชานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ขนาด 400 เตียง เพื่อร่วมกันสร้างโอกาสทางการรักษา สร้างแพทย์และบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิจัยสร้างนวัตกรรมองค์ความรู้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย ผ่านทางแอปพลิเคชันRabbit line pay หรือช่องทางอื่นๆที่สะดวกผ่านทางเมนู บริจาครวมถึงข่าวสารสาระและเกร็ดความรู้ดีๆทางด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีการแพทย์ก้าวหน้า การศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ สิ่งแวดล้อม โครงการต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและการพัฒนาประเทศชาติ

 

 

นอกจากนี้ ในวันที่ 29 ตุลาคม 2562 ถือเป็นวันคล้ายวันเกิดของโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ครบรอบ 10 ปี จึงได้จัดทำ สติ๊กเกอร์ไลน์ในชื่อชุด พึ่งxพิงเพื่อนำมามอบให้ทุกคนเป็นของขวัญแทนคำขอบคุณผู้รับบริการที่มอบความไว้วางใจ รวมถึงผู้ติตตาม LINE Official ของโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ โดยนำไปใช้ในการสนทนาผ่านแอปพลิเคชัน LINE ในชีวิตประจำวัน ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ฟรีตลอดเดือนตุลาคมนี้ สำหรับคาแรคเตอร์ของ พึ่งxพิงที่ได้เลือกนำมาเป็นมาสคอตบ่งบอกตัวตนของโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ มีสัญลักษณ์เป็นหมีคู่สีขาว โดยที่ให้ชื่อว่า พึ่งxพิง มีความหมายมาจากความตอนหนึ่งในพระปณิธานองค์ประธานผู้ก่อตั้โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ที่ว่า อยากให้โรงพยาบาลจุฬาภรณ์เป็นที่พึ่งของชนชั้นกลางจนถึงคนที่ยากไร้ ให้ได้รับการรักษาอย่างดีเยี่ยม โดยหมีขาวแสดงถึงบุคลิกของความรักและเอื้ออาทรแฝงด้วยความอบอุ่น มีความเมตตาและศรัทธาในการสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ มีจิตอาสาเพื่อสังคมส่วนรวม ซึ่งบ่งบอกความเป็นตัวตนของโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ที่สื่อถึงตัวแทนของบุคลากรในโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ทุกคน ทั้งแพทย์ พยาบาล บุคลากรสายสนับสนุนบริการทางการแพทย์ด้านต่างๆ ที่ได้ร่วมแรงร่วมใจมุ่งมั่งที่จะพัฒนาบริการสุขภาพเพื่อประชาชนภายใต้หลักการทำงาน ทุกชีวิตของคนไข้คือหัวใจของเราเพื่อพร้อมเป็นที่พึ่งพิงให้กับผู้ป่วย และช่วยแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพที่สำคัญของประเทศ โดยมุ่งหวังให้ประชาชนคนไทยในทุกถิ่นฐานมีสุขภาพที่ดีและคุณภาพชีวิตที่ได้มาตรฐาน ซึ่งเป็นพันธกิจที่โรงพยาบาลยึดถือตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาและตลอดไป โดยสติ๊กเกอร์ไลน์ พึ่งxพิงมีทั้งสิ้น 8 แบบ สามารถดาวน์โหลดฟรี ได้ที่ https://line.me/S/sticker/15547 ตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 ตุลาคม 2562 พร้อมทั้งร่วมฉลองครบรอบ 10 ปี กับแคมเปญสุขภาพที่ร่วมแบ่งเบาภาระค่ารักษาพยาบาลให้กับผู้รับบริการที่ต้องชำระค่ารักษาพยาบาลเอง โดยมอบส่วนลดทางการรักษา 10% ในทุกศูนย์การรักษาของโรงพยาบาล หรือเลือกผ่อนชำระ 0% กับบัตรเครดิตที่เข้าร่วมรายการนานสูงสุด 10 เดือนจนถึงสิ้นปี 2562 นี้

 

สามารถ Add Friend LINE Official Account ของโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ได้ โดยการสแกน QR Code หรือเข้าไปที่ Official Account แล้วค้นหาคำว่า โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ หรือ Chulabhorn Hospital

จส. 100 นอสตร้า และหัวเว่ยร่วมลงนาม MoU ผลักดันแพลตฟอร์ม IoT “ตามรอย (Tamroi)” เพื่อต่อยอดธุรกิจไทยและให้บริการสังคม”

 

 

สถานีวิทยุ จส. 100 นอสตร้า และหัวเว่ยร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ณ กรุงเทพมหานคร เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันในการพัฒนาแอปพลิเคชัน NB-IoT และความร่วมมือด้านเทคโนโลยีในประเทศไทย

 

ในการนี้ คุณหญิงสุวิมล ผึ่งประเสริฐ กรรมการบริหาร บริษัท แปซิฟิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด และผู้อำนวยการ สถานีวิทยุ จส.100 พร้อมด้วยนายวิชัย แสงหิรัญวัฒนา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โกลบเทค จำกัด และแบรนด์นอสตร้า และ นายโรเบิร์ต ฉี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท หัวเว่ย จำกัดร่วมลงนาม MoU โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความร่วมมือในการแบ่งปันโนว์ฮาวและการพัฒนาร่วมกัน รวมถึงการสาธิตและการทดสอบแอปพลิเคชัน บนเทคโนโลยี NB-IoT เพื่อสนับสนุนการพัฒนาแผนกลยุทธ์ NB-IoT สำหรับประเทศไทย

 

ในพิธีลงนาม ทั้งสามองค์กรได้ประกาศเปิดตัว “ตามรอย (Tamroi)” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มบริการ IoT ที่สามารถช่วยดูแลผู้สูงอายุ เด็ก ผู้ป่วย และนักท่องเที่ยว พร้อมกับการบริหารจัดการของมีค่าสำหรับทั้งองค์กรและบุคคลต่าง ๆ เพื่อให้บริการที่ดียิ่งขึ้นสำหรับสังคมไทย

 

ทั้งนี้ ด้วยเทคโนโลยีของระบบ NB-IoT ตามรอย (Tamroi) จะช่วยระบุตำแหน่งคนที่คุณรักด้วยอุปกรณ์อัจฉริยะต่าง ๆ และแอปพลิเคชั่นบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ และยังสามารถขอความช่วยเหลือจากทีมคอลเซ็นเตอร์ของ จส. 100 ตลอด 24 ชั่วโมงได้อีกด้วย โดยแพลตฟอร์มนี้จะช่วยให้สามารถเข้าถึงข้อมูลตำแหน่งของอุปกรณ์ และสิทธิ์ในการเข้าถึงจะปิดลงเมื่อเสร็จสิ้นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวแต่อย่างใด

 

นอสตร้า ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์เทคโนโลยีและให้บริการด้านข้อมูลแผนที่ดิจิทัล และ Location Contents ครอบคลุมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) จะร่วมช่วยพัฒนาแพลตฟอร์ม โดยครอบคลุมถึงแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์เคลื่อนที่และระบบเฝ้าติดตามทางเว็บด้วยแผนที่ฐานที่มีความละเอียด ถูกต้อง แม่นยำสูง

 

สถานีวิทยุ จส. 100 บริษัทสื่อออกอากาศที่นำเสนอข่าวสารและข้อมูลเกี่ยวกับการจราจรเพื่อประโยชน์ของชุมชนในช่วง 28 ปีที่ผ่านมา จะทำหน้าที่เป็นคอลเซ็นเตอร์ตลอด 24 ชั่วโมงและช่วยประสานงานปัญหาทั้งหมดเกี่ยวกับบริการช่วยเหลือ ด้วยสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับพันธมิตรด้านการช่วยเหลือฉุกเฉินต่าง ๆ ในประเทศไทย ได้แก่ สถานีตำรวจ โรงพยาบาล มูลนิธิ หน่วยงานราชการ และอาสาสมัครต่าง ๆ จส. 100 สามารถเป็นฮับในการรับส่งข้อมูลเพื่อช่วยเหลือทุกคนในชีวิตประจำวัน

 

หัวเว่ย ผู้ให้บริการชั้นนำระดับโลกด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) จะร่วมให้การสนับสนุนการบูรณาการระบบ IoT กับผู้บูรณาการระบบในท้องถิ่นเพื่อให้เกิดการพัฒนากรณีการใช้งาน IoT ต่าง ๆ ในประเทศไทย

 

นายวิชัย แสงหิรัญวัฒนา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โกลบเทค จำกัด และแบรนด์นอสตร้า กล่าวว่า “เทคโนโลยี IoT ถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยที่กำลังอยู่ในกระแสดิสรัปชั่น โดยการทำงานร่วมกันระหว่างนอสตร้า จส. 100 และหัวเว่ย ตอกย้ำความมั่นใจของการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อการพัฒนาธุรกิจและสังคมที่แท้จริง ‘แพลตฟอร์มบริการตามรอย (Tamroi)’ จะมอบคุณค่าที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งาน และเปิดช่องทางการตลาดยังไม่มีใครสามารถทำได้”

 

“เราหวังว่า แพลตฟอร์มบริการตามรอย (Tamroi) จะสามารถให้บริการด้านการดูแลแก่สาธารณะ และลดจำนวนสถิติการเกิดอุบัติการณ์ 6 อันดับแรกในประเทศไทย อันได้แก่ อุบัติเหตุ/อุบัติเหตุทางรถยนต์ การเจ็บป่วย คนหาย สัตว์เลี้ยงหาย ของมีค่าหาย และนักท่องเที่ยวหรือแรงงานต่างชาติหาย” คุณหญิงสุวิมล ผึ่งประเสริฐ กล่าว

 

“โครงการตามรอย (Tamroi) นี้เป็นผลงานสำคัญที่เกิดจากความร่วมมือของเรากับ จส.100 และนอสตร้า เพื่อนำบริการ IoT มาสู่ประเทศไทย และสามารถเป็นแหล่งอ้างอิงที่ดีในการสร้างระบบนิเวศของ IoT” นายโรเบิร์ต ฉี กล่าว “เราเชื่อว่าเทคโนโลยี IoT จะมีส่วนสนับสนุนให้แก่สังคมไทยมากยิ่งขึ้น และบริการตามรอย (Tamroi) จะช่วยให้การดูแลเป็นพิเศษแก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ อาทิเช่น ผู้สูงอายุ เด็ก ผู้ป่วย และนักท่องเที่ยวได้”

 

นอกจากนี้ภายในงานยังมีแขกรับเชิญพิเศษ 2 ท่าน ได้แก่ นายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และรศ.นพ. รัฐพลี ภาคอรรถ อาจารย์ประจำภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมแสดงความคิดเห็น โดยนายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้กล่าวในประเด็นที่เกี่ยวกับการสร้างความเชื่อมั่น ส่งเสริมด้านความปลอดภัยกับนักท่องเที่ยวว่า “ในฐานะที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการสร้างความเชื่อมั่นต่อนักท่องเที่ยว ในเรื่องความปลอดภัย และสวัสดิภาพของนักท่องเที่ยว โดย ททท. พยายามอำนวยความสะดวกในเรื่องข้อมูลการท่องเที่ยวควบคู่ไปกับการสร้างความมั่นใจและความอุ่นใจให้นักท่องเที่ยวเพื่อช่วยเหลือนักท่องเที่ยวในทุกเรื่อง เช่น การพลัดหลง ของหาย เป็นต้น รู้สึกยินดีที่มีการพัฒนาระบบการบริการที่จะมาช่วยในการสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยวในครั้งนี้”

 

ทรู อินคิวบ์ เลือกแล้ว 5 สตาร์ทอัพดาวรุ่งแห่งวงการธุรกิจเทค เดินหน้าคิกออฟหลักสูตรอบรมเข้มข้น ในโครงการ True Incube Incubation &ScaleUp Program Batch6 – Rising Startup Together

 

 

 

 

ทรู อินคิวบ์ โดย นายวีรศักดิ์ พงษ์ธัญญวิชัย (ยืน ที่ 4 จากขวา) รองผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรม บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น ร่วมกับ RISE สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กรระดับภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ โดย นายแพทย์ศุภชัย ปาจริยานนท์ (ยืน ที่ 4 จากซ้าย) ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร คิกออฟจับคู่ต่อยอดธุรกิจกับสตาร์ทอัพดาวรุ่ง 5 ทีม ที่ผ่านการคัดเลือกได้เข้า Bootcamp และเป็นพันธมิตรธุรกิจกับกลุ่มทรูและบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ในโครงการ True Incube Incubation & ScaleUp Program Batch 6 – Rising Startup Together โดย RISE ออกแบบหลักสูตรอบรมเข้มข้นและเวิร์คชอปเพื่อพัฒนาทักษะในการทำงานร่วมกันระหว่างองค์กรขนาดใหญ่และสตาร์ทอัพ  พร้อมกับมีโค้ชดูแลกระบวนการทำงานและให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด และรับคำปรึกษาจากเมนทอร์ในเครือข่ายของ RISE ที่มีทั้งผู้เชี่ยวชาญในองค์กรธุรกิจชั้นนำ สตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จ และนักลงทุนจากในประเทศไทยและต่างประเทศ

 

สตาร์ทอัพ 5 ทีมที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ True Incube Incubation &ScaleUp Program Batch 6 – Rising Startup Together ได้แก่ DayWork ตลาดงานพาร์ทไทม์ ตัวช่วยสำหรับนักศึกษาที่ต้องการรายได้เสริม จับคู่ธุรกิจกับ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป,  MoreMeat สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีอาหาร จับคู่กับ ซีพีเอฟ, Primo แพลตฟอร์มช่วยยกระดับโปรแกรมสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า จับคู่กับ ทรูบิสิเนส, FillGoods ระบบจัดการร้านค้าออนไลน์ ดูแลร้านค้าออนไลน์ได้อย่างมืออาชีพ จับคู่กับ ซีพี ออลล์ และ Adezy แพลตฟอร์มการจองป้ายโฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์ อำนวยความสะดวกทั้งผู้ซื้อและผู้ขายจบครบในที่เดียว จับคู่กับ True Analytics  โดยสตาร์ทอัพทั้ง 5 ทีม จะสามารถเร่งการพัฒนาธุรกิจ เพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการได้ภายในเวลาเพียง 10 สัปดาห์  พร้อมนำเสนอผลงานในเดือนธันวาคม 2562

 

CAT แจ้งเตือนระวังเว็บปลอมหนุนดีอีคุมเข้ม Fake News

 

 

 CAT ชี้เว็บปลอมแอบอ้างแบรนด์ดังหลอกผู้ตอบแบบสอบถามเสียค่าโทรต่างประเทศ เตือนผู้บริโภคอย่าหลงเชื่อ พร้อมหนุนภาครัฐควบคุมภัย Fake news สร้างความรู้เท่าทันมิจฉาชีพออนไลน์ลดความเสียหายของประชาชน  

 

 

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์  รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดและบริการ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)  หรือ CAT เปิดเผยว่า CAT ตรวจสอบพบความผิดปกติของทราฟฟิกโทรต่างประเทศที่เกิดจากเว็บ www. emayday.com โดยเพจดังกล่าวเป็นเว็บไซต์ปลอมหรือฟิชชิ่ง (Phishing) ที่มิจฉาชีพสร้างขึ้นหลอกเหยื่อให้เข้าไปตอบแบบสอบถามและระบุให้โทรฟรีเพื่อขอรับของรางวัล เช่น กินฟรี รับของสมนาคุณฟรี ผู้หลงเชื่อทำตามจะถูกหลอกให้กดโทรออกไปเลขหมายปลายทางในต่างประเทศซึ่งระบบจะโทรออกไปอัตโนมัติทำให้เสียค่าโทรโดยไม่รู้ตัว   CAT ตรวจสอบเพิ่มเติมพบเว็บไซต์ปลอมนี้ได้แอบอ้างแบรนด์  L’Oreal มอบเครื่องสำอางฟรีและมีการล่อหลอกให้ดำเนินการในลักษณะดังกล่าว  ล่าสุดเว็บไซต์นี้ถูกบล็อกการใช้งานแล้วเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านั้นมีผู้เสียหายที่มีการเชื่อมโยงสัญญาณผ่านระบบการให้บริการของ CAT กว่า 1,000 ราย ซึ่ง CAT ได้พิจารณายกเว้นค่าบริการให้เฉพาะกรณีดังกล่าวแล้ว  อย่างไรก็ดี เชื่อว่ายังคงมีเว็บไซต์ปลอมอื่นที่ใช้วิธีเดียวกันนี้ในการหลอกลวงลูกค้า CAT จึงขอแจ้งเตือนประชาชนที่อาจพบเว็บไซต์ในลักษณะเดียวกันให้เพิ่มความระมัดระวังและสงสัยไว้ก่อนว่าจะเป็นเว็บไซต์ปลอม อย่าหลงเชื่อกดเข้าไปตอบแบบสอบถาม อย่ากดโทรไปหมายเลขโทรฟรีตามที่เพจแนะนำและอย่าแชร์ต่อโดยเด็ดขาด เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพ

 

 

ทั้งนี้  เพื่อเป็นการสนับสนุนปฏิบัติการของศูนย์ป้องกันข่าวปลอม (ศูนย์ Fake News) ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด  CAT ได้ให้ความสำคัญกับการเฝ้าระวังเว็บไซต์ปลอมอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นการร่วมสนับสนุนนโยบายภาครัฐในการคุมเข้มข่าวปลอมรวมถึงการหลอกลวงของเว็บไซต์ปลอม  โดยประสานกับกองบัญชาการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ “บก.ปอท.” เพื่อป้องกันหยุดยั้งผลเสียหายที่กระทบผู้บริโภคได้ทันท่วงที พร้อมกับส่งเสริมให้ความรู้ประชาชนได้รู้เท่าทันไม่หลงกลการหลอกลวงผู้บริโภคในโลกออนไลน์

“ภาครัฐมีศูนย์ Fake News เน้นใช้กฎหมายปราบปรามผู้กระทำผิด  CAT จึงร่วมแก้ปัญหาอีกด้านหนึ่งด้วยการตรวจสอบเผ้าระวังภัย Fake news รวมทั้งเว็บไซต์ปลอมที่หลอกลวงประชาชนรูปแบบต่างๆ ผ่านเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องในความดูแลของเรา   ซึ่งเราพร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสำคัญในการปราบปรามข่าวปลอมการสร้างข้อมูลเท็จบนโลกออนไลน์เพื่อลดความเสียหายต่อประชาชนอย่างจริงจัง  พร้อมไปกับส่งเสริมการใช้นวัตกรรมดิจิทัลอย่างสร้างสรรค์ให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน”

 

You may have missed