04/19/2024

Month: May 2020

เทรนด์ไมโคร ได้รับยกย่องให้เป็นผู้นำในด้านระบบ Enterprise Detection and Response โดยบริษัทวิจัยชั้นนำ Forrester

โดยโซลูชั่นการตรวจจับ และตอบสนองแบบข้ามเลเยอร์ หรือ XDR ของเทรนด์ไมโคร

ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้สร้างความแตกต่างในตลาดได้อย่างแข็งแกร่ง

เทรนด์ไมโคร (TYO: 4704; TSE: 4704) ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชั่นความปลอดภัยทางไซเบอร์ ประกาศว่าบริษัทได้รับยกย่องให้ขึ้นเป็นตำแหน่ง “ผู้นำ” ในรายงาน The Forrester Wave™: Enterprise Detection and Response, Q1 2020

จากเกณฑ์การประเมินผู้ให้บริการระบบตรวจจับ และตอบสนองระดับองค์กร หรือ EDR จำนวน 14 รายการนั้น ทาง Forrester ได้ทำการประเมินผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัยจำนวน 12 บริษัท โดยแบ่งเกณฑ์ออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์ และบริการที่มีในปัจจุบัน, ด้านยุทธศาสตร์ และด้านบทบาทที่มีในตลาด ซึ่งเทรนด์ไมโครได้รับคะแนนสูงที่สุดในเกณฑ์ด้าน “การตรวจสอบเอนด์พอยต์จากระยะไกล” และ “การวิเคราะห์ด้านความปลอดภัย (ซึ่งอยู่ภายใต้หมวดผลิตภัณฑ์ที่มีให้บริการในปัจจุบัน), “วิสัยทัศน์ของผลิตภัณฑ์” และ “ประสิทธิภาพการทำงาน” (ในหมวดยุทธศาสตร์ขององค์กร), และเกณฑ์ด้าน “กลุ่มลูค้าระดับองค์กร” กับ “รายได้จากสายผลิตภัณฑ์” (ซึ่งอยู่ในหมวดบทบาทในตลาด)

อ้างอิงจากผลการศึกษาของ Ponemon Institute พบว่า กว่า 68% ขององค์กรทั้งหลายต่างเคยเป็นเหยื่อของการโจมตีเอนด์พอยต์ในช่วงปี 2019 ที่ผ่านมา ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายเฉลี่ยต่อการโจมตีเอนด์พอยต์แต่ละครั้งเพิ่มขึ้นเป็น 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเหล่าผู้โจมตีต่างพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราเห็นความจำเป็นอย่างมากในการยกระดับระบบป้องกันอันตรายทางไซเบอร์ ระบบป้องกันใหม่นี้ต้องมีโซลูชั่นที่สามารถขยายความครอบคลุมของการทำงานด้านการตรวจจับและตอบสนองไปถึงหลายลำดับชั้นความปลอดภัย เพื่อให้ได้ความสามารถในการมองเห็นกิจกรรมที่น่าสงสัยได้ดีกว่าเดิมหลายเท่า

ตัวอย่างเช่น ขณะที่ฟิชชิ่งได้กลายเป็นวิธีการโจมตีหนึ่งเดียวที่ได้ผลมากที่สุดในการเข้าถึงเป้าหมายภายในองค์กรนั้น ทางเทรนด์ไมโครก็ได้ผสานระบบการตรวจจับและตอบสนองที่ครอบคลุมทั้งอีเมล์ และเอนด์พอยต์เพื่อให้ได้ข้อมูลด้านความปลอดภัยที่ละเอียดมากยิ่งขึ้นจนสามารถค้นหาแหล่งที่มาของการโจมตี พร้อมทั้งวิเคราะห์ และสืบย้อนไปยังต้นตอถึงอีเมล์ตัวการเพื่อระบุหาผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด พร้อมทั้งจำกัดวงของอันตราย ยับยั้งการแพร่กระจายไปพร้อมกัน

เทรนด์ไมโครยังพัฒนาให้ครอบคลุมมากกว่าแค่เอนด์พอยต์ด้วยการนำระบบตรวจจับ และตอบสนองแบบข้ามเลเยอร์หรือ XDR มาใช้ตั้งแต่เอนด์พอยต์, อีเมล์, โหลดงานบนคลาวด์ และเครือข่าย เพื่อทลายอุปสรรคของทีมงานด้านความปลอดภัยขององค์กร และให้มุมมองภาพรวมเป็นหนึ่งเดียวของเส้นทางการโจมตีผ่านหลายเลเยอร์ของระบบความปลอดภัย จนทำให้ฟีเจอร์ EDR ของเทรนด์ไมโครถือเป็นส่วนสำคัญที่สร้างความแข็งแกร่งให้แก่ผลิตภัณฑ์ของเทรนด์ไมโครอย่างแพลตฟอร์ม XDR

“โซลูชั่น XDR ของเราทำให้ได้ความสามารถทั้งด้านการมองเห็น และการวิเคราะห์ที่เคยทำได้ยาก หรือแทบเป็นไปไม่ได้ก่อนหน้านี้” Steve Quane รองประธานบริหารของเทรนด์ไมโครกล่าว “เราเชื่อว่าการที่ได้รับยกย่องให้ขึ้นเป็นตำแหน่งผู้นำสำหรับผลิตภัณฑ์ EDR นี้ ได้ตอกย้ำถึงความสำคัญในการสร้างความเรียบง่าย และการเร่งความเร็วให้แก่ระบบการตรวจจับและตอบสนอง ด้วยความสามารถที่ระบบ XDR ของเรามีให้ และวิสัยทัศน์ของพวกเราทำให้สามารถพัฒนาโซลูชั่นที่สมบูรณ์แบบมากที่สุดแก่ลูกค้าของเราได้เช่นนี้”

ทาง Forrester ได้ยกย่องผลิตภัณฑ์ของเทรนด์ไมโครในหลายด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น:

  • “เทรนด์ไมโครใช้แนวทางการดำเนินงานที่มองการณ์ไกลอยู่เสมอ จึงถือเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับองค์กรที่ต้องการความสามารถของ XDR ที่รายงานและตรวจจับจากศูนย์กลางได้ แต่ตัวเองมีความสามารถในการไล่ล่าอันตรายเชิงรุกยังไม่เพียงพอ”
  • “เทรนด์ไมโครให้ความสามารถของ XDR ที่จำเป็นมากสำหรับในปัจจุบัน”
  • “พบว่าลูกค้าโดยรวมชื่นชอบการบริการ และความใส่ใจที่ได้รับจากเทรนด์ไมโคร”
  • “หนึ่งในฟีเจอร์ของของผลิตภัณฑ์ EDR ของเทรนด์ไมโคร” ที่มีการพัฒนาวิจัยมาเป็นอย่างดีคือ การให้ความสำคัญกับข้อมูลที่มีคุณค่าระหว่างการวิเคราะห์หาต้นเหตุที่แท้จริงของการโจมตี ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อการตามล่าอันตรายด้วยการระบุถึงตำแหน่งภายในระบบที่มีการบุกรุกหรือโจมตีเข้ามาได้อย่างแม่นยำ”

 

 

 

เทรนด์ไมโครได้รับคะแนนสูงที่สุดในเกณฑ์การประเมินต่าง ๆ ดังนี้:

  • การตรวจสอบเอนด์พอยต์จากระยะไกล
  • การวิเคราะห์ด้านความปลอดภัย
  • วิสัยทัศน์ของผลิตภัณฑ์
  • ประสิทธิภาพการทำงาน
  • กลุ่มลูกค้าระดับองค์กร (ในหมวดบทบาทที่มีในตลาด)
  • รายรับที่ได้จากสายผลิตภัณฑ์

 

ท่านสามารถดาวน์โหลดสำเนาของรายงานฉบับเต็มนี้ได้จาก https://resources.trendmicro.com/Forrester-Wave-EDR.html

เทรนด์ไมโคร เผยผลประกอบการประจำปี เติบโตถึง 15% รายได้สุทธิรวม 165,195 ล้านเยน

บริษัทเทรนด์ไมโคร (TYO: 4704; TSE: 4704) ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชั่นความปลอดภัยทางไซเบอร์ ได้ประกาศผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 4 ร่วมกับผลการดำเนินงานตลอดปีงบประมาณ 2019 ที่สิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2019 ที่ผ่านมา

ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2019 นั้น เทรนด์ไมโครสามารถทำผลประกอบการประจำไตรมาสได้แข็งแกร่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ที่เคยมีมาของบริษัท ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตในทุกภูมิภาคทั่วโลก และจากทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะอัตราการเติบโตที่มากถึง 15% ของยอดขายโดยรวมของกลุ่มธุรกิจหลักของบริษัทอย่างด้านการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮบริดจ์ นอกจากนี้ จำนวนลูกค้าเชิงพาณิชย์ที่ใช้โซลูชั่นแบบ SaaS ก็ยังมีจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่องมากกว่าผู้ที่ใช้โซลูชั่นแบบ On-Premise แบบเดิมเสียอีก ซึ่งถ้าพิจารณาแบบปีต่อปีแล้วพบอัตราการเติบโตมากถึง 20% เลยทีเดียว ผลประกอบการเหล่านี้เกิดขึ้นจากแนวโน้มที่แข็งแกร่งตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2019 ของเทรนด์ไมโคร แสดงให้เห็นได้ชัดมากถึงความเป็นผู้นำในการปกป้ององค์กรที่ใช้สภาพแวดล้อมการทำงานบนคลาวด์

“เราภูมิใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเติบโตที่แข็งแกร่งมากในปี 2019 โดยเฉพาะในไตรมาสสุดท้าย ซึ่งพิสูจน์ถึงความถูกต้องของการหันมาให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการปฏิวัติทางดิจิตอลขึ้นไปบนคลาวด์ได้เป็นอย่างดี ความทุ่มเทในการเป็นเลิศด้านคลาวด์ของเรานั้นได้รับผลตอบแทนที่ชัดเจนมากผ่านการพัฒนาโซลูชั่นด้านความปลอดภัยบนคลาวด์ที่ช่วยให้ลูกค้าปกป้องสภาพแวดล้อมการทำงานของตัวเองได้ทุกที่ ไม่ว่าจะมีระบบตั้งอยู่ที่ไหนก็ตาม” อีวา เฉิน ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของเทรนด์ไมโครกล่าว “เราทราบดีว่าการที่ปิดยอดประจำปีได้อย่างแข็งแกร่งนี้ไม่ได้หมายความว่างานของเราจบแล้ว เนื่องจากอันตรายต่างๆ ไม่เคยหยุดอยู่กับที่ เช่นเดียวกับความจำเป็นในการทำงานของเรา โดยเฉพาะจากภาวะการขาดแคลนแรงงานผู้ที่มีทักษะที่เกิดมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละวัน อีกทั้งลักษณะของธุรกิจและเทคโนโลยีในปัจจุบันต่างตอกย้ำความสำคัญของความสามารถในการมองเห็น, การตรวจจับ, และตอบสนองต่อเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยอย่างทั่วถึงทั้งระบบด้วย เราจึงมีภารกิจในการบริการโซลูชั่นอย่างต่อเนื่องที่ออกแบบมาเพื่อให้ธุรกิจทั้งหลายได้ความสามารถในการมองเห็นที่กว้างมากขึ้น ลดการแบ่งแยกฐานข้อมูลด้านความปลอดภัยเพื่อตรวจจับการโจมตีที่ซับซ้อนมากขึ้น ที่มิเช่นนั้นอาจบุกรุกเข้ามาได้แบบที่ไม่มีใครตรวจพบ”

สำหรับไตรมาสที่ 4 ที่ผ่านมานั้น ทางเทรนด์ไมโครได้รายงานยอดขายรวมสุทธิทั้งหมดที่ 44,261 ล้านเยน (หรือคิดเป็น 406 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อัตราแลกเปลี่ยน 108.82 เยนต่อ 1 ดอลลาร์ฯ) ขณะที่แสดงรายได้จากการดำเนินงานไว้ที่ 8,528 ล้านเยน (หรือ 78 ล้านดอลลาร์ฯ) และรายรับสุทธิที่ปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นเท่ากับ 5,623 ล้านเยน (หรือ 51 ล้านดอลลาร์ฯ) ในไตรมาสนี้ และเมื่อพิจารณาตลอดทั้งปีงบประมาณ 2019 ทางเทรนด์ไมโครก็ได้รายงานยอดขายสุทธิรวมทั้งหมดมากถึง 165,195 ล้านเยน (หรือคิดเป็น 1,515 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อัตราแลกเปลี่ยน 108.98 เยนต่อดอลลาร์ฯ) รวมทั้งบริษัทยังระบุรายรับจากการดำเนินงานอยู่ที่ 37,686 ล้านเยน (หรือ 345 ล้านดอลลาร์ฯ) และรายรับสุทธิที่ปันผลให้กับผู้ถือหุ้นเท่ากับ 27,946 ล้านเยน (หรือ 256 ล้านดอลลาร์ฯ)

ซึ่งถ้าอ้างอิงจากข้อมูลที่บริษัทมีอยู่ในขณะนี้ จะสามารถคาดการณ์ตัวเลขยอดจำหน่ายสุทธิเมื่อจบปีในวันที่ 31 ธันวาคม 2020 ได้ที่ 174,200 ล้านเยน (หรือ 1,598 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อคำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 109 เยนต่อ 1 ดอลลาร์ฯ) ส่วนรายรับจากการดำเนินงาน และรายรับสุทธิก็คาดว่าจะได้เท่ากับ 37,700 ล้านเยน (หรือ 345 ล้านดอลลาร์ฯ) และ 27,300 ล้านเยน (หรือ 250 ล้านดอลลาร์ฯ) ตามลำดับ

งานวิจัยของเทรนด์ไมโครพบว่า การตั้งค่าที่ผิดพลาดเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของความเสี่ยงในสภาพแวดล้อมการทำงานบนคลาวด์

บริษัทระดับโลกด้านความปลอดภัยบนคลาวด์ ได้ออกมาเผยถึงผลการวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยของคลาวด์ ที่เห็นได้ชัดว่าความผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์ และการวางระบบที่ซับซ้อนนั้นเป็นตัวการที่เปิดช่องต้อนรับอันตรายทางไซเบอร์หลากหลายรูปแบบ

ทาง Gartner ทำนายไว้ว่า ภายในปี 2021 องค์กรทั้งขนาดกลางและขนาดใหญ่มากกว่า 75% จะหันมาใช้ยุทธศาสตร์แบบมัลติคลาวด์ หรือระบบไอทีแบบไฮบริดจ์1 ซึ่งขณะที่แพลตฟอร์มบนคลาวด์กำลังได้รับความนิยมแพร่หลายมากขึ้นนั้น ทีมงานไอทีและ DevOps ก็เผชิญกับความกังวลและความไม่แน่นอนเพิ่มเติมที่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของอินสแตนซ์ตัวเองบนคลาวด์ด้วย

รายงานฉบับล่าสุดที่ปล่อยออกมานี้เป็นการตอกย้ำว่า การตั้งค่าที่ผิดพลาดเป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหาความปลอดภัยบนคลาวด์ และจากข้อเท็จจริงที่ระบบ Trend Micro Cloud One – Conformity ได้ตรวจพบปัญหาการตั้งค่าผิดพลาดมากกว่า 230 ล้านรายการในแต่ละวันโดยเฉลี่ย ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นชัดว่าความเสี่ยงนี้เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในวงกว้าง

“การจัดการความปลอดภัยบนคลาวด์นั้นกลายเป็นเรื่องของการตั้งกฎมากกว่าการคอยตั้งข้อยกเว้นที่จำกัดเฉพาะการใช้งานที่จำเป็นแบบแต่ก่อน ทำให้อาชญากรไซเบอร์ปรับตัวเองมาใช้ประโยชน์จากการตั้งค่า หรือบริหารจัดการระบบบนคลาวด์ที่ผิดพลาดได้” Greg Young รองประธานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ของเทรนด์ไมโครกล่าว “เราเชื่อว่าสำหรับการย้ายขึ้นไปบนคลาวด์นั้น วิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาความปลอดภัยก็คือการกำหนดขอบเขตและเอนด์พอยต์ของระบบไอทีในองค์กรใหม่ แต่อย่างไรก็ดี สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อองค์กรเหล่านั้นปฏิบัติตามโมเดลการรับผิดชอบร่วมกันสำหรับความปลอดภัยบนคลาวด์ การเป็นเจ้าของข้อมูลบนคลาวด์นั้นยิ่งทำให้ต้องใส่ใจกับการปกป้องมากขึ้นไปอีก เราจึงพัฒนาให้พร้อมที่จะช่วยเหลือธุรกิจต่างๆ ให้ประสบความสำเร็จในการรักษาความปลอดภัยบนคลาวด์”

งานวิจัยฉบับนี้ยังพบอันตรายและจุดอ่อนด้านความปลอดภัยในจุดสำคัญหลายจุดของคลาวด์คอมพิวติง ที่อาจทำให้ข้อมูลรหัสผ่านและความลับของบริษัทตกอยู่ในความเสี่ยงได้ ซึ่งอาชญากรที่อาศัยช่องโหว่ของการตั้งค่าที่ผิดพลาดนั้นเตรียมโจมตีบริษัทเหล่านี้ด้วยแรนซั่มแวร์, การแอบขุดเหมืองเงินคริปโต, การสกิมมิ่งทางอิเล็กทรอนิกส์, รวมทั้งการถลุงข้อมูลออกมาจากระบบ

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการแนะนำหรือคอร์สออนไลน์ที่สอนแบบผิดๆ จนทำให้ธุรกิจเกิดความเสี่ยงในการบริหารจัดการรหัสผ่านและใบเซอร์อิเล็กทรอนิกส์ผิดพลาดด้วย โดยรายงานนี้สรุปว่า ถึงแม้ทีมงานด้านไอทีสามารถใช้ประโยชน์จากทูลที่มีอยู่แล้วบนคลาวด์เพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้ แต่พวกเขาก็ไม่ควรจะพึ่งแต่เครื่องมือเหล่านี้อย่างเดียว

ทั้งนี้เทรนด์ไมโครแนะนำวิธีการทำงานที่ดีที่สุดในการรักษาความปลอดภัยของระบบบนคลาวด์ไว้ดังนี้:

  • วางระบบควบคุมที่ให้สิทธิ์น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น จำกัดการเข้าถึงเฉพาะผู้ที่จำเป็นเท่านั้น
  • ทำความเข้าใจโมเดลการแชร์ความรับผิดชอบ ที่ว่าแม้ผู้ให้บริการบคลาวด์จะมีระบบความปลอดภัยบิวท์อินมาให้ ลูกค้าก็ยังต้องรับผิดชอบในการรักษาความปลอดภัยข้อมูลของตัวเองด้วย
  • ตรวจสอบหาระบบที่มีช่องโหว่หรือตั้งค่าผิดพลาด ด้วยเครื่องมืออย่างเช่น Conformity ที่สามารถตรวจหาการตั้งค่าที่ผิดบนสภาพแวดล้อมแบบคลาวด์ของคุณได้ง่ายและรวดเร็ว
  • ผสานเรื่องความปลอดภัยเข้ากับวัฒนธรรม DevOps: โดยเราควรสร้างความปลอดภัยในกระบวนการ DevOps ตั้งแต่เริ่มต้น

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมและรายงานฉบับเต็มนั้น สามารถเยี่ยมชมได้ที่ https://www.trendmicro.com/vinfo/us/security/news/virtualization-and-cloud/exploring-common-threats-to-cloud-security

 

อินแกรม ไมโคร นำเสนอเทคโนโลยีเซิร์ฟเวอร์อัจฉริยะ HPE ProLiant Gen10 Server

บริษัท อินแกรม ไมโคร (ประเทศไทย) จำกัด  ผู้จัดจำหน่ายสินค้าเทคโนโลยี ขอนำเสนอผลิตภัณฑ์ Server อัจฉริยะจาก  Hewlett Packard Enterprise (HPE) ในรุ่น ProLiant Gen10 Server

ซึ่งเป็น Server ในสถาปัตยกรรม x86 รองรับทั้ง CPU Intel และ AMD ซึ่งสามารถรองรับงานได้หลากหลายรูปแบบการใช้งาน ไม่ว่าจะใช้เป็น Physical Server เพื่อรองรับ Workload เช่น Database Server, ERP Server, File Sharing Server หรือจะใช้เป็น Virtualization Server ก็สามารถทำงานได้บนระบบชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น VMware, Microsoft Hyper-V, RedHat และอีกมากมาย

 

การดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีที่มีความทันสมัย เพื่อช่วยสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ทุกคนในโลกได้สร้างและแบ่งปันข้อมูลผ่านทางระบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแบบ On-premises หรือบน Cloud ได้ทั้งแบบ Private และ Public

 

โดยระบบไอทีที่ดีนั้น จำเป็นจะต้องทำงานในเชิงรุกและสามารถคาดการณ์ความต้องการที่จะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังต้องมีความยืดหยุ่น รวมถึงความสามารถที่จะรองรับงานด้านธุรกิจได้อย่างทันท่วงที (Realtime) ไม่จำเป็นต้องรอนานเป็นวันๆ หรือเป็นสัปดาห์ ซึ่งอาจจะส่งผลให้องค์กรขาดโอกาสทางธุรกิจไป

 

หัวใจหลักของระบบไอทีอย่างเช่น “Server” จะต้องมีความอัจฉริยะในการตรวจสอบและบริหารจัดการได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น อีกทั้งยังต้องสามารถใช้งานและทำ Provision งานได้อัตโนมัติ เมื่อ Server ทำได้อย่างนั้นแล้ว จะทำให้ผู้บริหารระบบไอทีสามารถช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

HPE ตระหนักถึงประเด็นดังกล่าวข้างต้นจึงได้พัฒนา Server ที่มีพื้นฐานจากความเป็นอัจฉริยะตั้งแต่แรกเริ่ม โดยรองรับการทำงานของเวิร์กโหลดได้มากมาย ภายใต้โมเดลที่ชื่อว่า HPE ProLiant Server ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ในประเด็นสำคัญสามประการหลัก ๆ ด้วยกัน

 

Optimization: เป็นพื้นฐานอัจฉริยะที่สำคัญของระบบไอที ที่สามารถปรับเปลี่ยนการทำงานของไอทีให้มีประสิทธิภาพ สามารถรับงานเวิร์กโหลดได้ในทุกสถานการณ์ ช่วยประหยัดงบประมาณในแง่ของต้นทุนค่าใช้จ่าย พร้อมทั้งสร้างผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็วคุ้มค่ากับเงินที่ลงทุนไป

 

 

Security: HPE ProLiant มีแกนหลักของความปลอดภัยตั้งแต่เริ่มต้น มุมมองแบบ 360 องศาเพื่อที่จะสร้างระบบที่มีความปลอดภัยตั้งแต่เริ่มต้นสายการผลิตไปจนถึงขั้นตอนของการการติดตั้งและใช้งาน

 

Automation : ผลิตภัณฑ์ HPE ProLiant มีกลไกการทำงานอัตโนมัติ ทำงานได้อย่างง่ายดาย รองรับงานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

HPE ProLiant Gen10 Server : ตอบโจทย์ทุกมุมมอง

HPE ProLiant Gen10 Server เป็น Server ในสถาปัตยกรรม x86 รองรับทั้ง CPU Intel และ AMD ซึ่งสามารถรองรับงานได้หลากหลายรูปแบบการใช้งาน ไม่ว่าจะใช้เป็น Physical Server เพื่อรองรับ Workload เช่น Database Server, ERP Server, File Sharing Server หรือจะใช้เป็น Virtualization Server ก็สามารถทำงานได้บนระบบชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น VMware, Microsoft Hyper-V, RedHat และอีกมากมาย

 

HPE ProLiant Gen10 Server ถูกออกแบบให้ทำงานได้ตลอดเวลา แบบ 24×7 จึงมั่นใจได้ว่า ระบบงานทำงานอยู่บน Hardware ที่ออกแบบมาให้ทำงานอย่างมีเสถียรภาพ มีการรับประกันจาก HPE โดยตรง

 

ติดตั้งมาพร้อมกับ Integrated Lights-Out 5 (iLO 5) ซึ่งทำให้สามารถบริหารจัดการ Server ได้อย่างง่ายได้ ไม่ว่าจะเป็น การดูสถานะของตัวเครื่อง การสั่งปิด-เปิดเครื่อง การUpdate Firmware ของตัวเครื่อง และการควบคุมหน้าจอ (Remote Console)

 

HPE ProLiant Gen10 Server มีหลากหลาย Series ให้เลือกใช้งานตามความเหมาะสม และความคุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็น 500, 300, 100 และ 10 Series จึงทำให้ยืดหยุ่นและคล่องตัวในการใช้งาน ตอบโจทย์ในทุกมุมมอง

 

ท่านใดสนใจผลิตภัณฑ์ สามารถติดต่อได้ที่บริษัท อินแกรม ไมโคร (ประเทศไทย) จำกัด

โทร 02-012-2222 หรืออีเมล์ TH-HPE@ingrammicro.com

นิตยสารด้านสตอเรจระดับโลก SearchStorage มอบรางวัล Gold Award ประจำปี 2019 ด้านฮาร์ดแวร์ ให้แก่ Commvault

Commvault ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำซอฟต์แวร์ด้านการสำรองข้อมูล และกู้คืนระบบ สำหรับองค์กรระดับโลกในด้านการจัดการข้อมูลที่ครอบคลุมระบบการทำงานทั้งในรูปแบบคลาวด์และ on-premises รางวัลที่เป็นเครื่องการันตีคุณภาพจากนิตยสาร Storage ของ TechTarget  ระบุว่าผลิตภัณฑ์ Commvault Complete Backup and Recovery (v11) ได้รับรางวัล “Gold award in Backup and Disaster Recovery Hardware, Software and Services in TechTarget’s Storage magazine and SearchStorage 2019”

นิตยสาร Storage และ SearchStorage ของ TechTarget ระบุว่า “จากเกณฑ์การตัดสินที่หลากหลายเกณฑ์ และข้อกำหนดพบว่าผลิตภัณฑ์ Commvault  นี้ มีความสามารถที่ “ครอบคลุม”  และเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับด้วยประสิทธิภาพจากผู้ใช้งาน จึงสามารถพิชิตใจผู้ใช้งานได้ด้วยสถิติความสำเร็จของการกู้คืนระบบ และ“ความสามารถ” ในการทำงานร่วมกับ ระบบต่าง ๆ ได้หลากหลาย นอกจากนี้ ยังชื่นชอบความสามารถของ AI ที่ปรับตัวเปลี่ยนให้เข้ากับข้อตกลง ระดับการให้บริการที่กำหนดได้ ซึ่งซอฟต์แวร์สามารถวิเคราะห์รูปแบบ และค่าประสิทธิภาพที่เกี่ยวข้องเพื่อยกระดับความสามารถในการทำงานได้เป็นอย่างดี

รางวัล 2019 Products of The Year นี้ ได้รับการตัดสินโดยเหล่าบรรณาธิการจากทั้งนิตยสาร Storage และ SearchStorage โดยพิจารณาร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ นักวิเคราะห์ และที่ปรึกษาในวงการ โดยคณะกรรมการได้พิจารณาผลิตภัณฑ์ทั้งหลายโดยอิงจากด้านนวัตกรรม, ประสิทธิภาพการทำงาน, ความง่ายในการผสานเข้ากับระบบที่มีอยู่, ความง่ายในการใช้และการจัดการ, ความสามารถด้านต่างๆ และความคุ้มค่า

“เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัลที่ถือเป็นหนึ่งในรางวัลที่ดีที่สุดในวงการ” Sanjay Mirchandani ประธาน และซีอีโอของ Commvault กล่าว “เราเชื่อว่ารางวัลนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี ถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของเราในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ และชื่อเสียงที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน จนได้รับความเชื่อมั่นจากทั้งลูกค้า และพาร์ทเนอร์ของเรา ถึงแม้จะใช้โอกาสนี้ที่จะยินดีกับความสำเร็จที่แลกมาด้วยความพยายามอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา แต่เราก็จะยังมุ่งมั่นพัฒนาโซลูชั่นซึ่งช่วยแก้ปัญหาอุปสรรคที่ยากลำบาก ตามที่ลูกค้าต้องการอย่างไม่หยุดยั้ง”

“สำหรับการประเมินจากรายชื่อผลิตภัณฑ์ที่เข้าชิงรางวัล ทางคณะกรรมการได้ประเมินจากเกณฑ์ทั้งด้านนวัตกรรม, ประสิทธิภาพ, ความง่ายในการผสานเข้ากับสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีอยู่, ความง่ายในการใช้และการจัดการ, ฟังก์ชั่นการทำงาน และความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคา” Jillian Coffin รองประธานและบรรณาธิการบริหารของ TechTarget  Storage Media Group กล่าว กลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านการสำรองข้อมูลและกู้คืนระบบในปีนี้ถือว่ามีการพัฒนาความสามารถบนคลาวด์ รวมทั้งปกป้องข้อมูลได้อย่างครอบคลุม และสามารถบริหารจัดการงานได้หลากหลายแบบ

ตำแหน่ง “ผลิตภัณฑ์แห่งปี” ที่ Commvault ได้รับนี้ ถือเป็นรางวัลที่พิสูจน์ความสำเร็จสำหรับบริษัท ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาต้นเดือนกุมภาพันธ์นั้น ทาง CRN ยังได้ยกย่องให้ Commvault เป็นหนึ่งใน 100 บริษัท ด้านคลาวด์เทคโนโลยีที่โดดเด่นมากที่สุดประจำปี 2020 ซึ่งรายชื่อบริษัทที่ได้รับยกย่องเหล่านี้ถือว่าเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีบนคลาวด์ที่ยอดเยี่ยมใน 5 ด้านด้วยกัน ได้แก่ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน, แพลตฟอร์มและการพัฒนาที่เกี่ยวข้อง, ด้านความปลอดภัย, Storage และซอฟต์แวร์ ในไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ทาง Forrester ก็ได้ยกย่อง Commvault ให้เป็นผู้นำด้านโซลูชั่น  Data Resiliency และยิ่งไปกว่านั้น Gartner ก็ยกย่องให้ Commvault ขึ้นเป็นตำแหน่งผู้นำใน Gartner Magic Quadrant ด้านโซลูชั่นสำรองและกู้คืนระบบดาต้าเซ็นเตอร์อีกด้วย

สนใจสินค้า และผลิตภัณฑ์สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์บริษัท อินแกรม ไมโคร ประเทศไทย จำกัด : th-commvault@ingrammicro.com

 

อินแกรม ไมโคร แนะนำห้อง Executive Experience Center (EEC Room) แห่งแรกในประเทศไทย

บริษัท อินแกรม ไมโคร ประเทศไทย จำกัด เปิดตัวห้อง Executive Experience Center (EEC room) โดยห้อง EEC Room เป็นห้องที่นำเสนอนวัตกรรมการประชุมแห่งอนาคตและมีผลิตภัณฑ์แบรนด์ชั้นนำและ รองรับระบบการทำงานด้าน Unified Communication (UC) ทุกรูปแบบ ภายในห้อง EEC แห่งนี้ท่านจะได้สัมผัสประสบการณ์จากผู้นำด้านเทคโนโลยีชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น Poly , Logitech, Sharp, Lenovo, Jabra, Microsoft Teams เป็นต้น ทำให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสามารถตอบโจทย์ธุรกิจที่กำลังมองหาได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยทุกท่านสามารถเข้ามาใช้งานจริงได้แล้ววันนี้ ฟรี!

 

ห้อง EEC แห่งนี้ ประกอบด้วยโซลูชั่นในการประชุมหลายรูปแบบ ทั้งแบบประชุมขนาดเล็ก กลาง หรือขนาดใหญ่ มีเทคโนโลยีด้านภาพที่มีประสิทธิภาพสูง จากทาง Poly ที่ได้นำเสนอตัว Poly EE Director II ที่มีคุณสมบัติเด่น คือสามารถจับภาพตามคนสนทนาภายในห้องได้ อีกทั้งเมื่อใช้งานร่วมกับ Poly Platform จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการนับจำนวนผู้เข้าร่วมประชุมได้ดียิ่งขึ้น หรือ ในกรณีที่ต้องการแชร์เนื้อหาให้ผู้เข้าร่วมประชุม สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ Poly G7500 ในการแชร์คอนเทนต์โดยไม่ต้องใช้สาย HDMI  ที่ให้ความละเอียดสูงถึง 4K ใช้แบนด์วิธต่ำ และยังรวมถึงฟังก์ชั่นการทำงานร่วมกับกระดานบอร์ดอิเล็กทรอนิกส์แบบไม่จำกัดพื้นที่ พร้อมทั้งสามารถใช้งานกับกล้องรุ่นใหม่เพื่อทำ Group Framing และอื่นๆ อีกมากมาย

 

ส่วนผลิตภัณฑ์ Poly Pano ทำให้สามารถแชร์คอนเทนต์หลายๆ คอนเทนต์ แสดงผ่านทางหน้าจอเดียว และเมื่อทำงานร่วมกับจอ Touch Monitor ของ Sharp ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้กระดานบอร์ดอิเล็กทรอนิกซ์ได้อย่างดีเยี่ยม  ในส่วนของระบบเสียงนั้น ภายในห้อง EEC มีอุปกรณ์ Poly Ceiling Mic หรือไมค์ติดเพดานซึ่งเป็นไมค์ที่มีคุณสมบัติเด่นเรื่องการดูดเสียงได้อย่างยอดเยี่ยม และเมื่อใช้งานพ่วงกับ Poly Group Series จะช่วยเพิ่มฟังก์ชั่นการตัดเสียงรบกวนได้ดีมากขึ้น เหมาะสำหรับห้องประชุมที่เป็นพื้นที่เปิด

 

นอกจากผลิตภัณฑ์จาก Poly แล้ว ภายในห้อง EEC ยังมีนวัตกรรมด้านดิจิตอลที่น่าสนใจจากฝั่งของ Logitech ด้วยเช่นกัน Logitech Rally System ซึ่งเป็นนวัตกรรมดิจิตอลอัจฉริยะที่ยกระดับมาตรฐานทั้งระบบภาพและเสียงสูงสุด เหมาะสำหรับห้องประชุมขนาดปกติและห้องประชุมขนาดใหญ่ โดยนวัตกรรมนี้ประกอบด้วยเทคโนโลยี Logitech Right LightTM   ที่ช่วยจับภาพผู้เข้าร่วมประชุมและปรับสมดุลแสง ให้ความสำคัญกับใบหน้าและปรับโทนสีผิวให้ดูเป็นธรรมชาติแม้ในสภาพแสงน้อยหรือย้อนแสง รวมถึงเทคโนโลยี Logitech RightSightTM  ที่ช่วยจัดเฟรมอัตโนมัติให้เห็นภาพผู้เข้าร่วมประชุมได้ชัดเจน

 

สำหรับ เทคโนโลยี Logitech RightSoundTM   เป็นเทคโนโลยีด้านเสียงที่มีคุณสมบัติเด่นที่ช่วยตัดเสียงรบกวน ปรับระดับเสียงที่พูดอัตโนมัติ และโฟกัสเสียงของผู้พูดได้อย่างดี  ช่วยให้ได้ยินเสียงของทุกคนที่อยู่ในที่ประชุมได้อย่างชัดเจน สำหรับนวัตกรรม Logitech Rally System นี้เหมาะกับห้องประชุมขนาดใหญ่อย่างยิ่ง

 

ด้านระบบภาพนั้น ทาง Logitech มีผลิตภัณฑ์ Logitech Meetup  เป็น Conference Cam แบบพรีเมียร์ ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานสำหรับห้องประชุมขนาดเล็ก มาพร้อมเทคโนโลยี RightSightTM ที่จะช่วยปรับตำแหน่งกล้องอัตโนมัติเพื่อจัดกรอบผู้เข้าร่วมประชุมได้สุงสุดถึงแปดคน อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี RightSoundTM  ที่ช่วยจับคำพูดและเพิ่มระดับเสียงให้ดังขึ้น และตัดเสียงรบกวนโดยอัตโนมัติอีกด้วย นอกจากนี้แล้วแบรนด์ Logitech เองมีเทคโนโลยีที่ช่วยรองรับ Meetup เรียกว่า “Logitech Sync” ไม่ว่าอยู่ที่ใดก็ตาม สามารถทำงานได้บนบราว์เซอร์ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยรวมแล้วภายใน EEC Room มีอุปกรณ์และโซลูชั่นครอบคลุมทุกขนาดห้องประชุม ไม่ว่าจะเป็น Huddle Room, Medium Room และ Large Room รวมถึง USB Endpoint, , Codec endpoint, Teams room และ Zoom room solution ซึ่งครอบคลุมอุปกรณ์หลากหลายประเภท

 

คุณ ประสพโชค โอวัฒนะสิน, Division Product Manager  กลุ่มธุรกิจ Specialty Solution บริษัท อินแกรม ไมโคร (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ห้อง EEC Room นี้จะช่วยให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ของ  Unified Communication (UC) ได้อย่างเต็มที่ ลูกค้าสามารถที่จะเข้ามาทดลองใช้งานและเลือกโซลูชั่นที่เหมาะสมกับธุรกิจของตน ในขณะเดียวกันก็ยังจะได้สัมผัสกับสินค้าและโซลูชั่นใหม่ๆ ที่จะเข้ามาตอบโจทย์ทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และเราต้องการให้ลูกค้าทุกๆ ท่าน ได้รับประโยชน์จากการลงทุนในโซลูชั่นด้าน UC  อย่างเต็มที่ เพื่อเติมเต็มความต้องการในด้านธุรกิจและสร้างโอกาสใหม่ๆ ในอนาคต”

 

สามารถรับชมคลิป VDO ห้อง EEC Room ได้จากเว็บไซต์ https://youtu.be/tPw-4ZgHdkg

สนใจเข้าเยี่ยมชมและทดลองใช้งานผลิตภัณฑ์ในศูนย์ EEC สามารถติดต่อได้ที่

ตัวแทนของบริษัท อินแกรม ไมโคร หรือฝ่ายผลิตภัณฑ์ th-UC_Specialty@ingrammicro.com

 

You may have missed