04/24/2024

Month: December 2019

เทรนด์ไมโครได้เผยแพร่รายงานการคาดการณ์ประจำปี 2020

เทรนด์ไมโคร (TYO: 4704; TSE: 4704) ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชั่นความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ ได้เผยแพร่รายงานการคาดการณ์ประจำปี 2020 ซึ่งระบุว่าองค์กรต่าง ๆ จะเผชิญกับความเสี่ยงที่เติบโตมากขึ้นจากระบบคลาวด์ และซัพพลายเชนด้วยความนิยมที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ในการเพิ่มความคล่องตัวทางธุรกิจ ทำให้เพิ่มช่องโหว่ขององค์กรตั้งแต่องค์กรภาคเอกชนไปจนถึงโรงงานอุตสาหกรรมให้อ่อนไหวต่อความเสี่ยงจากภายนอกมากขึ้น

(more…)

RICOH ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ คนรุ่นใหม่ในโครงการ X Campus Ads Idea Contest 2019

บริษัท ริโก้ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ร่วมสนับสนุนโครงการ X Campus Ads Idea Contest 2019 ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมภายใต้ความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สมาคมอุตสาหกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศไทย กระทรวงศึกษาธิการ และมหาวิทยาลัยชั้นนำจากทั่วประเทศ โดยทุกภาคส่วนได้ตระหนักถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในภาคการศึกษาให้เกิดประโยชน์สูงสุด

(more…)

เทรนด์ไมโคร ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำด้านความปลอดภัย ด้าน Cloud Workload Security จาก Forrester ประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2019

เทรนด์ไมโคร ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชั่นความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ ได้ประกาศในวันนี้ว่า ตนเองได้รับคะแนนสูงสุดด้านกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอและด้านยุทธศาสตร์ รวมทั้งได้คะแนนสูงสุดเป็นอันดับสองในด้านบทบาทที่มีในตลาด อ้างอิงจากรายงาน The Forrester Wave™: Cloud Workload Security, Q4 2019 ซึ่งทางเทรนด์ไมโครเชื่อว่าการได้รับการยกย่องเช่นนี้ได้พิสูจน์ความเป็นผู้นำทางด้านผลิตภัณฑ์สำหรับคลาวด์และด้านยุทธศาสตร์ในฐานะผู้นำในตลาดความปลอดภัยสำหรับคลาวด์

 

โดยทาง Forrester ได้ประเมินผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ความปลอดภัย 13 รายอย่างเข้มงวด โดยเกณฑ์การประเมินกว่า 30 รายการใน 3 กลุ่มได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่มีในปัจจุบัน ยุทธศาสตร์ และบทบาทที่มีในตลาด

(more…)

DCS SOC as a Service บริการศูนย์เฝ้าระวังความปลอดภัยระบบเครือข่ายและระบบไอทีมาตรฐานโลก

การไขว่คว้าโอกาสของธุรกิจในยุคดิจิทัล นอกเหนือจากการสร้างผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค และรับมือคู่แข่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว ยังต้องอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพ เป็นหัวใจในการขับเคลื่อน  ไม่ว่าจะเป็นระบบเครือข่าย การสื่อสารไร้สาย เซิร์ฟเวอร์ อุปกรณ์เก็บข้อมูล การประสานการทำงาน ซอฟต์แวร์ทางธุรกิจ โซลูชันวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูล และอื่นๆ อีกมากมายมาประยุกต์ใช้งาน

002

ภัยไซเบอร์ ตัวการสั่นคลอนธุรกิจ

แต่ประสิทธิภาพเหล่านี้คงไร้ประโยชน์ หากไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีพอ เพราะโลกไซเบอร์เต็มไปด้วยภัยคุกคามทั้งมัลแวร์ ไวรัส แฮกเกอร์ แรนซั่มแวร์ การฉ้อโกง การรั่วไหลและขโมยข้อมูล ซึ่งสร้างความเสียหายได้อย่างมากมาย ทั้งในแง่ของความเชื่อมั่นของลูกค้า ชื่อเสียงขององค์กร ข้อมูลอันทรงคุณค่า เวลาและกำลังคนในการกู้คืนระบบ รวมถึงตัวเงินอีกด้วย

004-2

ทำให้องค์กรส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการลงทุนจัดหาระบบรักษาความปลอดภัยหลากหลายรูปแบบมาใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น Firewall, NAC, VPN, IPS, IDS, Internet Security, Email Security, Web Security, DDos Protection, Cloud Security, Malware Protection  แต่นั่นหมายถึง การที่เราต้องจัดหาอุปกรณ์จำนวนมากจากหลายผู้ผลิต สิ่งที่ตามมาก็คือการดูแลและการบริหารจัดการก็จะยิ่งยุ่งยากขึ้น

006

การปฏิบัติตามกฏหมายดิจิทัล

นอกจากการรับมือกับภัยคุกคามและความยุ่งยากในการบริหารจัดการอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยแล้ว หนึ่งในประเด็นที่สร้างความกังวลและปวดหัวให้กับองค์กรในปัจจุบันก็คือ การต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับกฎหมายดิจิทัลทั้ง 3 ฉบับ ได้แก่

พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

พ.ร.บ. การรักษาความปลอดภัยมั่นคงไซเบอร์

พ.ร.บ. ข้อมูลส่วนบุคคล

 

ซึ่งต่างๆ ก็มีบทลงโทษทั้งการปรับเป็นตัวเงินและโทษจำคุก ยิ่งทำให้องค์กรต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยที่หลากหลายและเป็นไปตามมาตรฐานยิ่งขึ้น

 

ต้องลงทุนทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ บุคลากรและเวลา

การจะรับมือความท้าทายเหล่านี้ ฝ่ายไอทีขององค์กรต้องรับบทหนักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณอาจต้องลงทุนทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และด้วยการจู่โจมของภัยคุกคามที่เกิดขึ้นแบบไม่มีวันหยุด ฝ่ายไอทีขององค์กรยังต้องทุ่มเทอย่างเต็มที่ จนอาจไม่มีเวลาในการคิดหาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้เพื่อตอบสนองความต้องการทางธุรกิจได้อย่างเต็มที่

007

การสร้างระบบรักษาความปลอดภัยที่สมบูรณ์แบบ องค์กรควรมีศูนย์ SOC หรือ Security Operation Center ทำหน้าที่เฝ้าระวังความปลอดภัยระบบเครือข่ายและระบบไอทีที่เกี่ยวข้อง เพิ่มประสิทธิภาพของการตรวจสอบและแจ้งเตือนได้เร็วขึ้น ป้องกันภัยคุกคามแบบ Real time ตลอด 7 วัน 24 ชั่วโมง

แต่การสร้างศูนย์ SOC ที่สมูรณ์แบบ คุณต้องลงทุนทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อวิเคราะห์ความปลอดภัย ตรวจตรา เฝ้าดู วิเคราะห์ log จากอุปกรณ์มากมายในองค์กร ตอบสนองต่อเหตุการณ์ผิดปรกติที่เกิดขึ้น   รวมถึงกู้คืนระบบจากความเสียหาย ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนก้อนโต

008

จะดีกว่าไหมถ้ามีผู้เชี่ยวชาญมาทำหน้าที่เหล่านี้แทนคุณ

 

DCS มืออาชีพด้าน Cyber Security

นี่จึงเป็นที่มาของ DCS SOC as a Service บริการศูนย์เฝ้าระวังความปลอดภัยระบบเครือข่ายและเทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งเป็นความร่วมมือของบริษัท ดาต้าโปร คอมพิวเตอร์ ซิสเต็มส์ จำกัด (DCS) และบริษัท Acer Cyber Security (ACSI)

001

ด้วยประสบการณ์ในการให้คำปรึกษา ออกแบบ ติดตั้งระบบไอทีและระบบรักษาความปลอดภัยให้กับองค์กรขนาดใหญ่ในประเทศไทยมายาวนานมากกว่า 30 ปี ของ DCS ผสานกับความรู้ความเชี่ยวชาญระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ระดับชาติมมากว่า 16 ปี ของ ACSI

ทำให้บริการ SOC as a Service พร้อมที่จะช่วยดูแลความปลอดภัย เพื่อป้องกันภัยคุกคามแบบ Real time ตลอด 7 วัน 24 ชั่วโมง ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีกระบวนการทำงานที่ได้มาตรฐาน และทีมผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์

ประกอบด้วยบริการระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์แบบครบวงจรต่างๆ ได้แก่

Security Monitoring การเฝ้าระวัง ตรวจจับ และจัดการกับภัยคุกคามแบบ Real time

Log Management บริการจัดการข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์จากอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยทั้งหมดในองค์กร

Incident Respond การสนองตอบและสืบหาที่มาของเหตุการณ์ผิดปรกติที่เกิดขึ้นในระบบ รวมถึงหาโซลูชันแก้ไข

Pentest การตรวจหาช่องโหว่ของระบบรักษาความปลอดภัย

VA (Vulnerability Assessment) การประเมินความเสี่ยงจากช่องโหว่ที่พบ

Recovery การกู้คืนระบบจากความเสียหาย

Consult บริการให้คำปรึกษาด้านระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์

009

เพื่อให้ธุรกิจในยุคดิจิทัลดำเนินไปอย่างราบรื่น เพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาความปลอดภัย ตรวจสอบและแจ้งเตือนได้เร็วขึ้น และช่วยลดภาระให้องค์กร

ติดต่อสอบถาม :

บริษัท ดาต้าโปร คอมพิวเตอร์ ซิสเต็มส์ จำกัด (DCS)

คุณสุวณี วงศ์เกษมสมบัติ โทร. 094-952-6566 หรือ suwanee.w@dcs.premier.co.th

www.datapro.co.th

“Fujitsu World Tour 2019” งานแสดงวิสัยทัศน์และบริการเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจยุคดิจิทัล

ผ่านไปแล้วกับ Fujitsu World Tour 2019 Asia Conference Bangkok งานสัมมนาใหญ่ประจำบริษัท ฟูจิตสึ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แนวคิด DRIVING A TRUSTED FUTURE  ‘การสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนอนาคตที่เราเชื่อถือได้

Photo1
ทีมผู้บริหารฟูจิตสึ (จากซ้ายไปขวา) 1. นายทาดาซิ มาเอกิ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้ากลุ่มงานฝ่ายการตลาด ภูมิภาคเอเชีย, ฟูจิตสึ ลิมิเต็ด 2. นายโทชิโร มิอุระ กรรมการผู้จัดการ, ฟูจิตสึ (ประเทศไทย) จำกัด 3. นางสาว กนกกมล เลาหบูรณะกิจ หัวหน้ากลุ่มงานฝ่ายขาย, ฟูจิตสึ (ประเทศไทย) จำกัด 4. นายอริมิชิ คูนิซาวา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส หัวหน้าภูมิภาคเอเชีย, ฟูจิตสึ เอเชีย, ฟูจิตสึ ลิมิเต็ด 5. นายไกวัลย์ บุญเสรฐ หัวหน้ากลุ่มงาน Digital Solution, ฟูจิตสึ (ประเทศไทย) จำกัด

โดยมี คุณอริมิชิ คูนิซาวา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส หัวหน้าภูมิภาคเอเชีย, ฟูจิตสึ เอเชีย, ฟูจิตสึ ลิมิเต็ด เป็นประธานเปิดงานสัมมนาปีนี้ พร้อมด้วย คุณทาดาซิ มาเอกิ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้ากลุ่มงานฝ่ายการตลาด ภูมิภาคเอเชีย, ฟูจิตสึ ลิมิเต็ด ทีมผู้บริหารฟูจิตสึในประเทศไทย และวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายสาขา ร่วมแสดงวิสัยทัศน์การเพื่อเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนธุรกิจในยุคดิจิทัล

010

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาฟูจิตสึชูแนวทางหลักมุ่งเน้นไปที่ “นวัตกรรมเพื่อมนุษยชาติ: การเปลี่ยนแปลงที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล” (Human Centric Innovation – Driving Digital Transformation) ซึ่งเป็นแนวโน้มการนำนวัตกรรมดิจิทัลยุคใหม่ๆ Digital Transformation เข้ามาเปลี่ยนแปลงธุรกิจและสังคม พร้อมทั้งนำเสนอเทคโนโลยีหลายๆ ส่วนที่จะมีการเชื่อมการใช้งานเข้าไว้ด้วยกัน  อาทิ ระบบคลาวด์ ระบบความปลอดภัย อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (Internet of Things – IoT) การวิเคราะห์ข้อมูล (Big Data) ตลอดจนการมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – AI) ซึ่งจะเป็นภาพที่เห็นได้ชัดเจนมากขึ้นในมุมของเทคโนโลยีดิจิทัลที่เข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวันของธุรกิจ คนทำงาน และชุมชน เป็นการนำมาซึ่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหม่อีกครั้งหนึ่ง แต่สิ่งหนึ่งที่  AI จะไม่สามารถเข้ามาทดแทนแรงงานบุคลากรได้นั่นคือ AI ไม่สามารถเข้าใจคำพูดหรือประเมินผลแบบซับซ้อนได้ เนื่องจาก AI เป็นเทคโนโลยีที่ไม่มีอารมณ์และความรู้สึก ดังนั้น AI คือ เครื่องมือที่จะเข้ามาช่วยให้บุคคลกรหรือแรงงานมนุษย์ มีความคล่องตัวและความสามารถในการบริหารเวลาเพื่อมีกิจกรรมร่วมกับครอบครัวได้ มากขึ้น

Photo2
นายโทชิโร มิอุระ กรรมการผู้จัดการ, ฟูจิตสึ (ประเทศไทย) จำกัด

ทางด้าน นายโทชิโร มิอุระ กรรมการผู้จัดการ, ฟูจิตสึ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ฟูจิตสึ ประเทศไทย ได้นำ Digital Transformation เข้ามาใช้อย่างเป็นรูปธรรมในประเทศไทย ได้เปลี่ยนตัวเองอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสังคมรอบข้างปัจจุบัน Ecommerce เข้ามามีบทบาทอย่างชัดเจน และเป็นสังคมไร้เงินสดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสั่งอาหาร การใช้ชีวิตประจำวัน ได้เปลี่ยนแปลงสู่ระบบ Digital Transformation  โดยจะยิ่งเห็นชัดมากขึ้นในอีก 5-10 ปีข้างหน้านี้ โลกจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง ที่ผ่านมาฟูจิตสึมุ่งเน้น เทคโนโลยีเพื่ออนาคตที่เชื่อถือได้ ใช้ดิจิทัลโซลูชั่นมาประยุกต์ใช้สร้างความสะดวก คุณประโยชน์ และความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว อาทิ 1.Big Data, 2.IOT, 3.Robotic Process Automation(RPA)  โดยยังคงโฟกัสกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม (Manufacturing) , รถยนต์ , ค้าปลีกและองค์กรขนาดใหญ่ ด้วยบริการ 4 โซลูซันหลัก  คือ  ERP (Enterprise Resource Planning), Managed Service, Security และ Digital Innovation” และด้วยเทคโนโลยีจะเอื้อกับธุรกิจใหม่ๆ ด้วยปัจจัย อินเตอร์เน็ตและ โมบาย จะทำให้ทุกองค์กรและหน่วยงานจำเป็นต้องปรับตัวเข้าสู่ Digital Transformation ทั้งหมดในปี 2020

เนื้อหาสาระจากผู้ทรงคุณวุฒิ

นอกจากเนื้อหาจากผู้บริหารของฟูจิตสึแล้ว ในปีนี้ยังมีผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมให้ข้อมูลบนเวทีอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น คุณศุภชัย สัจไพบูลย์กิจ สภาหอการค้าไทย บรรยายในหัวข้อ Realizing Thailand’s Digital Strategies ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับแผนยุทธศาตร์ด้านดิจิทัลของประเทศไทย และสิ่งที่ผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัว

004
คุณศุภชัย สัจไพบูลย์กิจ สภาหอการค้าไทย

วิทยากรรับเชิญคนสำคัญอีกหนึ่งท่านได้แก่ คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ บรรยายในหัวข้อ Building the New S-Curve with Data Analytic เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้ประกอบการเห็นความสำคัญและสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจด้วยข้อมูล ในมุมมองของผู้บริหารและผู้ใช้เทคโนโลยี คุณรวิศ หาญอุตสาหะ บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด ผู้พลิกฟื้นศรีจันทร์สู่แบรนด์แห่งความภาคภูมิใจ  บรรยายในหัวข้อ A Trusted Organization Matters เกี่ยวกับสร้างองค์กรประสบความสำเร็จและได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า เป็นต้น

005
คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์
006
คุณรวิศ หาญอุตสาหะ บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด

อีกหนึ่งวิทยากรคือ คุณพีรสิทธิ์ บุญนำ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ วางแผนและพัฒนาธุรกิจ. บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หนึ่งในองค์กรที่นำโซลูชันภายใต้การให้บริการของฟูจิตสึไปขับเคลื่อนธุรกิจอาหารในยุคดิจิทัล บรรยายในหัวข้อ Driving Future “Food for the World Across the Digital Supply Chain” โดยคุณพีรสิทธิ์ มาเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ในการนำโซลูชันดิจิทัล มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจในแก่เจริญโภคภัณฑ์อาหารได้อย่างไรบ้าง

007
คุณพีรสิทธิ์ บุญนำ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ วางแผนและพัฒนาธุรกิจ. บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)

ขณะที่บรรยากาศภายนอกห้องสัมมนาก็คึกคักไม่แพ้กัน เพราะฟูจิตสึได้นำโซลูชันดิจิทัลมากมายมาแสดงเพื่อให้ผู้เข้าชมงานได้สัมผัสกัน ผู้สนใจสามารถดูเนื้อหาต่างๆ ที่เรากล่าวไปแล้วได้ที่ www.facebook.com/FujitsuThailand/

008

009

Photo3

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จับมือซิสโก้ มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้เทคโนโลยีในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

สำนักวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง สถาบันอุดมศึกษาชั้นนำแห่งอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกับ บริษัท ซิสโก้ ซีสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อนำเทคโนโลยีต่างๆ ที่ทันสมัยเข้ามาใช้งานเพื่อพัฒนาบุคลากรและนักศึกษา รวมถึงพัฒนาศักยภาพของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ครอบคลุมทั้งองค์กร เพื่อการเป็น Digital University และ ศูนย์การเรียนรู้เทคโนโลยีในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง”

Test4

วิสัยทัศน์การก้าวสู่ Digital University ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มีการดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ครอบคลุม 3 ด้านหลักๆ ได้แก่  Digital Learning, Digital Living และ Digital Managing โดยเป็นการขับเคลื่อน Digital University ด้วยหัวใจ สร้างขึ้นด้วยวัฒนธรรมขององค์กร ไม่ได้เป็นเพียงวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร แต่นักศึกษา บุคลากร อาจารย์ และผู้เกี่ยวข้อง ทุกคนของมหาวิทยาลัยต่างมีส่วนร่วม มาเรียนรู้ร่วมกัน ทำด้วยกัน ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน ขับเคลื่อนแนวคิด Digital University เข้าไปในหัวใจของทุกคน

IMG_0301

รศ. ดร.ชยาพร วัฒนศิริ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า “ หนึ่งในวิสัยทัศน์ Digital University ของเราคือสร้างให้มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยี ไม่ใช่แค่เฉพาะในภาคเหนือ หรือในประเทศไทย แต่เรามุ่งไปสู่ระดับอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยที่ผ่านมาเราประสบความสำเร็จกับการเป็นศูนย์กลางการศึกษาและการให้บริการสุขภาพเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่จะดำเนินการต่อไปคือการมุ่งสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพและมีความเท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงในโลกดิจิทัลในทุกระยะ ดังนั้นการร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่างซิสโก้ ถือเป็นแนวทางที่เหมาะสมในการพัฒนาความรู้ สร้างงานวิจัย และนวัตกรรมในเชิงเทคโนโลยีร่วมกันในอนาคต “

IMG_0376
รศ. ดร.ชยาพร วัฒนศิริ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

ดร. ธีรวิศิฏฐ์ เลาหะเพ็ญแสง คณบดีสำนักวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ กล่าวว่า “ ปัจจุบันเรามีการเรียนการสอนด้านเทคโนโลยีมากมาย รวมถึงมีการทำงานวิจัยด้าน Embedded System, AI, IoT และ Software Development มากมาย นอกจากนี้ เรามีการจัดตั้งห้องแลปด้านเทคโนโลยีระบบเครือข่าย โดยมี ดร. มาหะมะ เซะบากอ เป็นผู้รับผิดชอบ ความร่วมมือกับซิสโก้ในครั้งนี้จะทำให้เรามีเนื้อหาการเรียนการสอนในหลักสูตรเกี่ยวกับระบบเครือข่ายมากขึ้น ด้วยจุดแข็งต่างๆ ที่มี ทำให้เราตั้งเป้าหมายว่า นักศึกษาที่จบหลักสูตรนี้จะมีความพร้อมสำหรับการทำงานและเติบโตในหน้าที่การงานสายเทคโนโลยีระบบเครือข่ายในระดับนานาชาติ “

 

ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยแม่ฟังหลวงมีจุดแข็งที่เอื้อต่อการเป็น ศูนย์กลางการเรียนรู้เทคโนโลยีในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง” เช่น การมีหลักสูตรการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ ทำให้บุคลากรของทางมหาลัยแม่ฟ้าหลวงสามารถเรียนรู้ สามารถติดต่อสื่อสารกับต่างประเทศได้อย่างชำนาญ เช่นเดียวกับนักศึกษาก็มีความพร้อมที่จะทำงานในระดับภูมิภาคหรือระดับนานาชาติได้ทันที

 

นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงก็เป็นหน่วยงานภาครัฐเพียงไม่กี่แห่งของประเทศไทย ซึ่งมีบุคลากรที่ได้รับประกาศนียบัตร CCIE ซึ่งเป็นประกาศนียบัตรระดับผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีเครือข่ายในระดับสูงสุดจากซิสโก้ รวมถึงยังมี DevNet Certification สำหรับฝั่ง Software Development ได้แก่ ดร. มาหะมะ เซะบากอ ทำให้สามารถนำความรู้มาพัฒนาบุคลากรและนักศึกษาต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

นายวัตสัน ถิรภัทรพงศ์ กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทยของซิสโก้ กล่าวว่า “เนื่องจากต้นกำเนิดของซิสโก้ เกิดมาจากสถาบันการศึกษา ทำให้เรามีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาความแข็งแกร่งทางด้านเทคโนโลยีของภาคการศึกษาในประเทศไทยมาโดยตลอด นอกเหนือจากความร่วมมือทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งซิสโก้จะให้คำปรึกษาและจัดหาเทคโนโลยีในการวางระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที ให้การสนับสนุนด้านวิชาการและพัฒนาทักษะให้บุคลากรของมหาวิทยาลัย ซิสโก้ยังพร้อมที่จะให้การสนับสนุนเพื่อช่วยผลักดันวิสัยทัศน์การเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีในระดับอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงด้วยเช่นกัน “

 

“เรามีความเชื่อมั่นว่าการสร้างความเสมอภาคให้กับสังคมได้จะต้องมี 2 ปัจจัยประกอบกันนั่นคือ การให้บริการสุขภาพ และการให้การศึกษา เราให้การสนับสนุนสถาบันการศึกษาทั่วโลกในหลายมิติ และเราก็มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงในการพัฒนาการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีในครั้งนี้ “

 

สำหรับความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงในครั้งนี้ บริษัท ซิสโก้ ซีสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด จะให้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยีครอบคลุมด้านต่างๆ ได้แก่ การให้คำปรึกษาสำหรับการวางแผน ออกแบบโครงสร้างพื้นฐานระบบไอทีทั้งในส่วนของระบบเครือข่าย ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบริการที่เกี่ยวข้อง ครอบคลุมกิจกรรมการเรียนการสอน การพัฒนา Digital Learning Platform, การประสานการทำงานภายในองค์กร, Smart Education, Smart Healthcare เป็นต้น

shutterstock_488140138

รวมถึงการสนับสนุนทางด้านความรู้ และการพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีให้กับบุคลากรของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทางมหาวิทยาลัยและชุมชน รวมถึงการร่วมมือในการพัฒนาศักยภาพ และ ยกระดับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจาก Cisco Network Academy เป็น Cisco Instructor Center (ศูนย์พัฒนาและผลิตอาจารย์ผู้สอน) เป็นต้น

RICOH หนุนการเติบโตการใช้งานเทคโนโลยีสมัยใหม่ ในงาน November Series

บริษัท ริโก้ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เข้าร่วมงาน November Series 2019 ระหว่างวันที่ 27-28 พฤศจิกายน 2562 ณ ห้องวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ โดยทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDE) ร่วมกับสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย (ATCI) ได้ร่วมมือกันจัดโครงการนี้เพื่อผลักดันการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในประเทศให้เป็นที่ใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้น สอดรับกับโลกเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป

(more…)

YouTube ประกาศผลวิดีโอยอดนิยม ประจำปี 2562 #YouTubeRewind2019 

เพลงลูกทุ่งยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดย 6 ใน 10 ของวิดีโอเพลงยอดนิยมเป็นวิดีโอเพลงลูกทุ่ง

YouTube ประเทศไทย ประกาศผลวิดีโอยอดนิยมบน YouTube ประจำปี 2562 หรือ YouTube Rewind 2019 ที่ได้จัดลำดับความนิยมเป็นประจำทุกปี สำหรับปีนี้ วิดีโอในหมวดทั่วไปที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทย ได้แก่ แกล้งแฟนหลอกผีที่โหดที่สุด!! (Kaykai&Sprite) ที่มียอดเข้าชมเกือบ 17 ล้านครั้ง จากช่อง Kaykai Salaider ซึ่งเป็นครีเอเตอร์ไทยรายแรกที่มียอดผู้ติดตามทะลุ 10 ล้านคน โดยอันดับ 2 ตกเป็นของการ์ตูนจากช่องมิกกี้เมาส์ของค่ายดิสนีย์ขวัญใจคนทุกเพศทุกวัย ที่มีชื่อตอนว่า “Our Floating Dreams” ที่เล่าเรื่องสองพี่น้องชิปมังก์พายเรือขายของในตลาดน้ำของไทย ส่วนคอมเมดี้ซิทคอม “เป็นต่อ” ตอน “นารีรำพึง” ที่ออกอากาศทางช่อง one31 ได้คว้าอันดับ 3 ไปครอง

นอกจากนี้ ยังมีวิดีโอที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจนติดโผ 10 อันดับด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น เหมาของหมด7-11 ครั้งแรกในชีวิต!!! เพื่อบริจาคเด็กบนดอย จากช่อง Kyutae Oppa วิดีโอที่ My Mate Nate โยนทุเรียนจากตึกสูง 35 ชั้น!!!! และฉากหนึ่งจากตอนจบของ “ทองเอก หมอยาท่าโฉลง” ละครแนวพีเรียดคอมเมดี้ทางช่อง 3 ที่นำแสดงโดยมาริโอ้ เมาเร่อ และ คิมเบอร์ลี แอน โวลเทมัส

โดยวิดีโอยอดนิยมในหมวดทั่วไปทั้ง 10 อันดับนี้มียอดการเข้าชมรวมกันมากกว่า 95 ล้านครั้ง และช่องที่เป็นเจ้าของวิดีโอเหล่านี้มีจำนวนผู้ติดตามรวมกันมากกว่า 90 ล้านคน

10 อันดับวิดีโอยอดนิยมบน YouTube หมวดทั่วไป (จัดอันดับ ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2562)

  1. แกล้งแฟนหลอกผีที่โหดที่สุด!! (Kaykai&Sprite)

  2. Our Floating Dreams | A Mickey Mouse Cartoon | Disney Shorts

  3. เป็นต่อ 2019 | EP.1 FULL HD “นารีรำพึง” | 17 ม.ค. 62 | one31

  4. เหมาของหมด7-11ครั้งแรกในชีวิต!!! เพื่อบริจาคเด็กบนดอย

  5. โยนทุเรียนจากตึกสูง 35 ชั้น!!!!

  6. มีแฟน VS ไม่มีแฟน ต่างกันอย่างไร ?

  7. ถ้า Rapper สั่งอาหารตามสั่ง???(ภาค2) – Bie The Ska

  8. พีช อีท แหลก vs ราชานักกินไต้หวัน EP53 ปี2 | PEACH EAT LAEK

  9. ASMR รังผึ้งแสนอร่อย กินบ่อยๆเป็นเบาหวาน (โครตหวาน!)

  10. FIN | ไม่มีปัญญาทำเอง แล้วยังกล้ามาขี้ตู่ | ทองเอกหมอยาท่าโฉลง | Ch3Thailand

ด้านวิดีโอยอดนิยมในหมวดเพลงดังของไทยในปีนี้ อันดับ 1 ได้แก่ เลิกคุยทั้งอำเภอเพื่อเธอคนเดียว – ลิลลี่ ได้หมดถ้าสดชื่น Feat.เก้า เกริกพล [OFFICIAL MV】 ที่ทำให้น้องลิลลี่ เด็กสาววัย 15 ปี โด่งดังเพียงชั่วข้ามคืน และตั้งแต่วิดีโอนี้ถูกเปิดตัวมียอดเข้าชมแล้วกว่า 297 ล้านครั้ง นอกจากนี้ ยังมีปรากฎการณ์ที่น่าสนใจในปีนี้คือเพลงลูกทุ่งยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดย 6 ใน 10 ของวิดีโอเพลงยอดนิยมเป็นวิดีโอเพลงลูกทุ่งที่ส่วนหนึ่งมีเนื้อร้องเป็นภาษาท้องถิ่นผสมผสานได้อย่างลงตัว นอกจากนี้วิดีโอเพลง กรรม – ป้าง นครินทร์「Official MV」 และ YOUNGOHM – ธารารัตน์ (Thararat) ยังติดอันดับในปีนี้ด้วยเช่นกัน และนี่คือรายชื่อวิดีโอเพลงยอดนิยมทั้ง 10 อันดับ

10 อันดับวิดีโอยอดนิยมบน YouTube หมวดเพลงดัง (จัดอันดับ ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2562)

  1. เลิกคุยทั้งอำเภอเพื่อเธอคนเดียว – ลิลลี่ ได้หมดถ้าสดชื่น Feat.เก้า เกริกพล [OFFICIAL MV】

  2. ชอบแบบนี้ – หนามเตย สะแบงบิน [OFFICIAL MV]

  3. ขอบใจเด้อ – ศาล สานศิลป์ : เซิ้ง|Music [Story จักรวาลไทบ้าน]【Official Video】

  4. อยู่บ่ได้ – เต้ย อภิวัฒน์ [ Official MV ]

  5. กรรม – ป้าง นครินทร์「Official MV」

  6. YOUNGOHM – ธารารัตน์ (Thararat)

  7. PURE – ทางผ่าน (Passenger) [Official Audio]

  8. ปี้(จน)ป่น – [ เอ มหาหิงค์ ] MAHAHING feat.บัว กมลทิพย์「Official Lyrics」

  9. โสดจริงหรือเปล่า – วงแทมมะริน Feat.กุ้ง นนทิยา [4K MusicVideo]

สามารถชมวิดีโอยอดนิยมบน YouTube ของประเทศไทยประจำปีนี้ และช่องที่ได้รับความนิยม ได้ทางช่อง YouTube Rewind (ประเทศไทย) โดยคลิกไปที่ youtube.com/theyearinreviewTH หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ YouTube Rewind รวมถึงวิดีโอยอดนิยมในประเทศอื่นๆ ได้ที่เว็บไซต์ YouTube Rewind 2019

บริษัท ริโก้ จำกัด ประกาศว่าตนเองได้ขยายการใช้พลังงานไฟฟ้าที่มาจากแหล่งผลิตพลังงานทดแทนในโรงงานผลิต ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการเข้าร่วมโครงการ RE100

บริษัท ริโก้ จำกัด (กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น) ได้ประกาศว่าตนเองได้ขยายการใช้พลังงานไฟฟ้าที่มาจากแหล่งผลิตพลังงานทดแทนในโรงงานผลิต ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการเข้าร่วมโครงการ RE100 รวมทั้งเป็นการปฏิบัติตามความมุ่งมั่นที่จะไปสู่เป้าหมายในการใช้พลังงานไฟฟ้าทดแทน 100% ในการปฏิบัติงานทางธุรกิจทั้งหมด

เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมานั้น บริษัท Ricoh Thermal Media (Wuxi) หรือ RTM ซึ่งเป็นโรงงานผลิตในประเทศจีน ได้เปิดตัวสถานีผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ที่ทำงานภายใต้โมเดล PPAโดยเริ่มใช้พลังงานไฟฟ้าจากบริษัทผลิตไฟฟ้าที่สร้างขึ้นจากระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ขนาด 2.8 MW ที่ติดตั้งบนดาดฟ้าอาคาร ดังนั้นกว่า 20% ของพลังงานไฟฟ้าที่ RTM ใช้จะมาจากพลังงานไฟฟ้าทดแทนตั้งแต่นี้เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 เป็นต้นมานั้น บริษัท Ricoh UK Products ซึ่งเป็นโรงงานผลิตในประเทศอังกฤษ ก็ได้เปลี่ยนแหล่งพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในโรงงานทั้งหมดมาใช้พลังงานไฟฟ้าทดแทนแล้ว

ความพยายามที่เกิดขึ้นจากโรงงานทั้งสองแห่งข้างต้นนี้ได้เพิ่มปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าทดแทนขึ้นโดยประมาณถึง 13.6 GWh ต่อปี และคาดการณ์ว่าจะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณมากถึง 5,000 ตัน

ในฐานะบริษัทญี่ปุ่นแห่งแรกที่เข้าร่วมโครงการ RE100 เมื่อเดือนเมษายน 2560 นั้น RICOH ได้ริเริ่มโครงการประหยัดพลังงานและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งสถานีผลิตไฟฟ้าพลังงานทดแทนภายในบริษัท รวมทั้งการเปลี่ยนไปใช้แหล่งกำเนิดพลังงานไฟฟ้าที่มีสัดส่วนของพลังงานทดแทนมากขึ้น เร่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ในสถานที่ทำงานหลายแห่งด้วยกัน โดยเริ่มจากโรงงานผลิตก่อน ซึ่งทุกโรงงานของบริษัทที่ประกอบชิ้นส่วนของผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชันขนาด A3 ในประเทศจีน ไทย และญี่ปุ่น ต่างก็เปลี่ยนมาใช้พลังงานทดแทนในปีนี้ ส่วนในด้านความพยายามภายในประเทศญี่ปุ่นเองนั้น บริษัท Ricoh Japan สาขากิฟุ ก็ได้รับมาตรฐาน Nearly ZEB จากองค์กรภายนอก จากความพยายามในการประหยัดพลังงานอย่างครอบคลุม รวมทั้งการผลิตและใช้พลังงานทดแทน รวมทั้งยังมีการสร้างเครื่องผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และอุปกรณ์จัดเก็บพลังงานไฟฟ้าด้วย ทั้งนี้ RICOH วางแผนที่จะวางระบบ ZEB ที่สำนักงานสาขาอื่น รวมทั้งสำนักงานขายต่าง ๆ ทั่วประเทศญี่ปุ่นในอนาคต

รวมไปถึงการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานไฟฟ้าทดแทนสำหรับภาคธุรกิจ ด้วยการริเริ่มขยายการใช้พลังงานไฟฟ้าทดแทนในโรงงานผลิตที่ทำให้ RICOH ร่วมกับพาร์ทเนอร์ที่เกี่ยวข้องสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่กระทบกับสิ่งแวดล้อมน้อยลง และทำให้ไปสู่เป้าหมายของสังคมคาร์บอนเป็นศูนย์ได้เร็วมากยิ่งขึ้น

โรงงานผลิตที่ใช้พลังงานทดแทนแล้ว

Wuxi, China            – Ricoh Thermal Media (Wuxi) Co., Ltd.

(สินค้าที่ผลิต: ผลิตภัณฑ์ Thermal)

Telford and Stirling, U    – Ricoh UK Products Ltd.

(สินค้าที่ผลิต:อะไหล่ของผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์ในสำนักงาน และเครื่องพิมพ์เชิงพาณิชย์)

 

เอ็นทีที เปิดบริการคลาวด์ในประเทศไทยเต็มรูปแบบ

ติดสปีดคลาวด์ระดับองค์กร บนแพลทฟอร์มระดับพรีเมียมที่ได้รับการรับรองจาก SAP พร้อมรองรับการใช้งานระบบ SAP HANA®, ศูนย์บริการข้อมูล และแอพพลิเคชั่นอัจฉริยะด้วยการบริหารจัดการแบบอัตโนมัติ

 

บริษัท เอ็นทีที จำกัด (NTT Ltd.) ผู้ให้บริการเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก ประกาศพร้อมเปิดให้บริการคลาวด์ในประเทศไทยเพื่อเพิ่มความคล่องตัวและความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการข้อมูลบนคลาวด์ได้อย่างปลอดภัย พร้อมรองรับการทำงานของแอพพลิเคชั่นคลาวด์บนแพลทฟอร์มไฮบริดคลาวด์ได้หลากหลาย (hybrid-multi cloud)  และสามารถทำงานร่วมกับผู้ให้บริการคลาวด์ในระดับโลก  ด้วยมาตรฐานแพลตฟอร์มบนคลาวด์ของเอ็นทีที ที่ได้รับการรับรองจาก SAP พร้อมตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าองค์กรได้อย่างครบวงจร ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐาน แพลทฟอร์ม รวมไปถึงแอพพลิเคชั่นอย่าง SAP HANA®

บริการคลาวด์ของ NTT ยังเป็นแพลตฟอร์มสำหรับแอพพลิเคชันในระดับองค์กรที่สำคัญ เช่น ศูนย์บริการข้อมูล (contact centre) และแอพพลิเคชั่นอัจฉริยะในอนาคต เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล,  AI และ IoT เป็นต้น

บริการดังกล่าวมาพร้อมกับการบริหารจัดการอัตโนมัติเต็มรูปแบบเพื่อลดความซับซ้อนของการดำเนินงานและเพิ่มความปลอดภัยระดับสูงภายใต้มาตรฐานการควบคุมความปลอดภัยบนคลาวด์ (CSA-STAR) โดย NTT พร้อมให้บริการเต็มรูปแบบเพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้งานบนคลาวด์ได้อย่างราบรื่น ด้วยบริการให้คำปรึกษา บริการย้ายข้อมูลบนคลาวด์ (migration service) และการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ในประเทศและจากทั่วโลก

นอกจากนี้บริการคลาวด์ของเรายังผสานการทำงานร่วมกับศูนย์ข้อมูล Thailand Bangkok 2 Data Center  หรือ “NexcenterTM”  ที่เป็นมาตรฐานบริการและความปลอดภัยของเอ็นทีที และยังได้รับมาตรฐานการจัดการด้านความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล (ISO 27001), มาตรฐานสำหรับศูนย์ข้อมูลเพื่อความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศจากการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ (PCI DSS) และรายงานผลการรับรองเกี่ยวกับการควบคุมการให้บริการในองค์กร (SOC) รวมถึงมาตรฐานการจัดการระบบพลังงานด้วยมาตรฐานสากล Energy Management System หรือ ISO 50001 ในการบริหารจัดการพลังงานภายในศูนย์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายสุทัศน์ คงดำรงเกียรติ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารประจำประเทศไทย กัมพูชา เมียนมาร์ และลาว บริษัท เอ็นทีที จำกัด กล่าวว่า ผู้ประกอบการในปัจจุบันกำลังใช้แอพพลิเคชั่นที่หลากหลายพร้อมกับเก็บข้อมูลจำนวนมากในแพลตฟอร์มต่างๆ การใช้บริการคลาวด์ถือเป็นตัวเลือกที่ช่วยให้พวกเขาตอบสนองความต้องการในการทำธุรกิจในยุคใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

สำหรับการให้บริการคลาวด์ เรามุ่งไปยังองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ทั้งในภาคการเงิน ธนาคาร ภาคอุตสาหกรรม ผู้ให้บริการศูนย์บริการข้อมูล หรือ Contact Centre  ธุรกิจที่มีหลายสาขา และภาครัฐที่ต้องการความปลอดภัยในระดับสูง รวมถึงกลุ่มธุรกิจที่ใช้งานบนแพลทฟอร์มของ SAP เป็นหลัก เพื่อต้องการตอบสนองข้อมูลที่รวดเร็ว แม่นยำ มีความปลอดภัยสูง และมีความยืดหยุ่นในทำงาน สามารถเพิ่มจำนวนของแอพพลิเคชั่นบนแพลทฟอร์มที่หลากหลาย และพร้อมรองรับการเพิ่มปริมาณข้อมูลจำนวนมากๆได้

“เราเห็นความต้องการใช้บริการคลาวด์ในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะบนแพลตฟอร์ม SAP ซึ่งการใช้งาน SAP บนคลาวด์ในปัจจุบันคิดเป็น 24 เปอร์เซ็นต์ ของการใช้ SAP ทั้งหมดทั่วโลก และมีแนวโน้มความต้องการใช้งานที่คาดว่าจะเติบโตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทยเพิ่มขึ้น”

สำหรับในประเทศไทยการให้บริการด้านศูนย์บริการข้อมูล หรือคอนแทคเซ็นเตอร์ จะเป็นบริการที่แสดงให้เห็นถึงความต้องการใช้งานและกระตุ้นการตัดสินใจที่จะย้ายการทำงานแอพพลิเคชั่นไปยังคลาวด์มากขึ้น โดยคาดการณ์ขนาดตลาดรวมของศูนย์บริการข้อมูลจะเพิ่มขึ้นจาก 16.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2559 เป็น 27.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2566 โดยมีอัตราการเติบโตต่อปี (CAGR) ที่ 7.4 เปอร์เซ็นต์ โดยเราคาดการณ์ว่ามากกว่า 50% จะย้ายมาใช้บริการคลาวด์ในประเทศไทยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้

“แต่ความปลอดภัยถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับลูกค้าองค์กรในการปรับมาใช้คลาวด์ เอ็นทีทีจึงได้พัฒนาบริการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการและขจัดข้อกังวลดังกล่าว  ด้วยแพลตฟอร์มบริหารจัดการคลาวด์แบบครบวงจร ถูกออกแบบมาเพื่อยกระดับการให้บริการในระดับองค์กร โดยสามารถสร้างระบบการทำงานแบบส่วนตัวในรูปแบบที่ต้องการได้ รวมไปถึงการจัดการระดับความปลอดภัยขั้นสูงโดยเอ็นทีทีได้มีการคำนึงถึงระบบความปลอดภัยตั้งแต่เริ่มต้นออกแบบ, การบริหารจัดการ ไปจนถึงการเชื่อมโยงข้อมูลที่อยู่บนเครือข่ายคลาวด์อื่นๆ ทำให้การจัดการข้อมูลเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว และไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณในการลงทุนสูงในคราวเดียว”  นายสุทัศน์ กล่าวสรุป

นอกจากนี้ เอ็นทีที ได้จัดงาน ELEVATE Thailand 2019 เพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ด้านไอซีทีและนวัตกรรม โดย นายสุทัศน์ คงดำรงเกียรติ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารประจำประเทศไทย กัมพูชา เมียนมาร์ และลาว บริษัท เอ็นทีที จำกัด ได้ขึ้นเวทีแนะนำภาพรวมเทคโนโลยีและแผนการดำเนินงานในประเทศไทยกับเหล่าพันธมิตรและลูกค้า พร้อมกันนี้ได้จัดโซนแสดงนวัตกรรมอัจฉริยะ NTT Sport Intelligent Corner เช่น นวัตกรรมในการมอนิเตอร์และตรวจสมรรถนะร่างกายของนักปั่นจักรยานที่ใช้ในการแข่งขัน Tour de Franc และ NTT AI Translator Corner สำหรับเปลี่ยนข้อความเสียงเป็นตัวอักษรแบบเรียลไทม์ สำหรับใช้ในการประชุมคอนเฟอร์เรนซ์ รวมทั้งสามารถแปลภาษาเอกสารได้แบบเรียลไทม์ถึง 12 ภาษา เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้จัดห้องสัมมนาด้วยกัน 3 ส่วน ได้แก่ BUSINESS TRACK, TECHNOLOGY TRACK และ CLOUD TRACK เพื่อให้ความรู้กับผู้ที่มาร่วมงานอีกด้วย เมื่อเร็วๆ นี้ ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์

You may have missed