04/24/2024

Month: February 2017

สิงคโปร์ทดลองใช้ Virtual Reality เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบรักษาความปลอดภัยสาธารณะ

Motorola Solutions เปิดตัวศูนย์ Virtual Command แล้วในสิงคโปร์ หวังใช้ทรัพยากรภายในศูนย์ รวมถึงระบบอัจฉริยะต่างๆ ในการดูแลความปลอดภัยร่วมกับหน่วยงานจากภาครัฐของสิงคโปร์

001

โดยศูนย์ดังกล่าวตั้งขึ้นมาพร้อมวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมความเสี่ยงของการเกิดภัยอันตรายต่าง ๆ เช่น การก่อการร้ายในที่สาธารณะ หรืออุบัติเหตุร้ายแรง ซึ่งศูนย์สามารถให้ความช่วยเหลือหน่วยงานภาครัฐได้ผ่านเครื่องมือต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น โดรน สำหรับถ่ายภาพทางอากาศ, กล้อง 360 องศา, แผนที่แบบอินเทอร์แอคทีฟ ฯลฯ แถมยังมีอุปกรณ์สวมศีรษะ VR จากค่าย Oculus Rift ให้สวมและดึงข้อมูลต่าง ๆ ขึ้นมาใช้งานได้ด้วย

Paul Steinberg ผู้บริหารฝ่ายเทคโนโลยีของ Motorola Solutions กล่าวให้สัมภาษณ์ว่า “ที่ผ่านมา เมื่อมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้น ผู้ที่มีหน้าที่สั่งการให้ฝ่ายต่าง ๆ เข้ารับมือกับเหตุร้ายจะใช้วิธีแบบเดิม ๆ ในการสั่งการ แต่ด้วยพลังของเทคโนโลยียุคใหม่ เราสามารถจัดการรับมือกับสถานการณ์ร้ายเหล่านั้นได้ดียิ่งขึ้นด้วยการส่งข้อมูลที่ถูกต้องไปยังคนที่ถูกต้อง ในเวลาที่ถูกต้อง”

โดยผู้สวมแว่น VR สามารถตรวจจับ วิเคราะห์ข้อมูล และแชร์ข้อมูลความเสี่ยงในการเกิดภัยอันตรายนั้น ๆ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพียงแค่ใช้การกรอกตาไปมา นอกจากนั้นยังสามารถส่งสัญญาณติดต่อกับเจ้าหน้าที่รัฐผ่านคลื่นวิทยุแบบ push-to-talk ได้เช่นกันด้วย

https://www.youtube.com/watch?v=fDtNNpYC6vY

“ความปลอดภัยของประชาชนในประเทศเป็นงานสำคัญอันดับต้น ๆ ของสิงคโปร์ และ Motorola Solutions ก็ต้องการมีส่วนร่วมในการสร้างพื้นที่ปลอดภัยนั้นเช่นกัน เนื่องจากธุรกิจของเรามีความเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของประชาชน ด้วยงานวิจัยและโซลูชันที่เราพัฒนา สามารถช่วยให้หน่วยงานภาครัฐปฏิบัติภารกิจเพื่อการรักษาความปลอดภัยได้ดียิ่งขึ้น” Lain Clarke รองประธานองค์กรของ Motorola Solutions ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกล่าว

Trend Micro เปิดตัว Deep Security 10 ที่ออกแบบมาสำหรับปกป้องเซิร์ฟเวอร์ต่างๆ ที่รันระบบบนไฮบริดจ์คลาวด์โดยเฉพาะ

Trend Micro ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชั่นความปลอดภัยทางไซเบอร์ ได้ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Trend Micro Deep Security 10 ที่มีฟีเจอร์ความปลอดภัย XGen™ ซึ่งเป็นการผสมผสานเทคนิคการป้องกันอันตรายหลายๆ ชนิด เข้ากับระบบฐานข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายต่างๆ อย่างอัจฉริยะ เพื่อสนับสนุนการทำงานของโซลูชั่นความปลอดภัยของ Trend Micro ทุกตัว โดย Deep Security รุ่นล่าสุดนี้ได้ก้าวนำหน้าคู่แข่งอย่างต่อเนื่องด้วยความสามารถในการปกป้องเซิร์ฟเวอร์ทั้งแบบฟิสิคอล, เวอร์ช่วล, และบนคลาวด์ที่ครอบคลุมผู้ให้บริการชั้นนำอย่าง VMware, Amazon Web Services (AWS), และ Microsoft Azure เป็นต้น ที่มีการเพิ่มเทคนิคความปลอดภัยใหม่ๆ จำนวนมาก มาปรับแต่งการทำงานร่วมกันให้ได้ประสิทธิภาพและการตอบสนองที่ดีที่สุดในการป้องกันอันตรายใหม่ๆ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

DS10

การหันมาใช้เทคโนโลยีเวอร์ช่วลไลเซชั่นและคลาวด์คอมพิวติ้งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น ล้วนผลักดันให้องค์กรต่างๆ ต้องเปลี่ยนวิธีการรักษาความปลอดภัยของตนเอง โดยทิ้งวิธีการดั้งเดิมแล้วเปิดใจรับโซลูชั่นสมัยใหม่ เราเชื่อในคำแนะนำจากบริษัทนักวิเคราะห์ชั้นนำอย่าง Gartner ที่พูดถึงการรักษาความปลอดภัยบนคลาวด์ว่า “อย่าคิดว่าโซลูชั่นแพลตฟอร์มที่ปกป้องเอนด์พอยต์สำหรับผู้ใช้นั้น จะสามารถปกป้องโหลดการทำงานบนเซิร์ฟเวอร์คลาวด์ได้ด้วย เนื่องจากการรักษาความปลอดภัยบนคลาวด์ล้วนมีความหลากหลายที่แตกต่างกันอย่างมาก”1ซึ่งในรายงาน Gartner Magic Quadrant for Endpoint Protection Platforms ฉบับล่าสุดนั้น TrendMicro ได้รับยกย่องให้เป็นผู้นำที่สูงที่สุด และมาไกลที่สุด ในด้านความสามารถการตอบสนองต่อความต้องการด้านวิสัยทัศน์ขององค์กร โดย Deep Security ถือเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของ Trend Micro ที่ได้รับการประเมินในรายงาน Magic Quadrant for Endpoint Protection Platforms นี้ด้วย

“ความต้องการทางธุรกิจ ที่ต้องการการบริการแอพพลิเคชั่นที่เร็วกว่าโดยใช้คลาวด์ โดยที่ไม่ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านไอทีนั้น หมายความว่า คุณต้องมองกลไกด้านความปลอดภัยใหม่” เจสัน คราดิต ผู้อำนวยการอาวุโสด้านเทคโนโลยีสำหรับโซลูชั่น TRC กล่าว “Deep Security ถือว่าลงตัวกับโมเดลDevSecOps เป็นอย่างมาก ด้วยการให้ความสามารถการมองเห็นที่ครอบคลุมทุกโหลดงานบนคลาวด์ และจัดสรรทรัพยากรให้กับฟีเจอร์ความปลอดภัยที่หลากหลายได้อย่างอัตโนมัติ ซึ่งทำให้เรามุ่งมั่นพัฒนาแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ อย่างง่ายและรวดเร็วโดยใช้ทีมงานขนาดเล็กและคล่องตัวได้”

DS10_2

เทคนิคการปกป้องที่หลากหลายและครอบคลุม

Deep Security ได้รวมเอาส่วนผสมของเทคนิคป้องกันอันตรายที่มาจากหลายยุคสมัย การทำงานอย่างผสมผสานเพื่อปกป้องเซิร์ฟเวอร์จากอันตรายต่างๆซึ่งรวมถึงแอนติมัลแวร์ และระบบป้องกันการบุกรุก (IPS) ที่คอยตรวจจับและหยุดยั้งการโจมตีที่ซับซ้อนได้ ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ความปลอดภัยแบบ XGen™ นั้น ทำให้ Deep Security 10มีเทคนิคความปลอดภัยใหม่ๆ หลายรูปแบบ ซึ่งรวมทั้งการป้องกันการเปลี่ยนแปลงบนซอฟต์แวร์ที่ไม่ได้รับอนุญาตด้วยฟีเจอร์ Application Controlซึ่งบนการทำงานแบบไฮบริดจ์คลาวด์นั้น ฟีเจอร์Application Control ใหม่นี้สามารถปกป้องเซิร์ฟเวอร์จากการโจมตีที่ซับซ้อนมากอย่างแรนซั่มแวร์ได้ด้วยแม้ว่าแอพพลิเคชั่นที่ใช้งาน หรือปริมาณโหลดงานมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทั่วทั้งสภาพแวดล้อมการทำงานแบบเวอร์ช่วลและบนคลาวด์

ด้วยความมุ่งมั่นในการยกระดับความสามารถการตรวจจับอันตรายที่ไม่รู้จัก Deep Security 10 จึงรองรับทั้งการทำแซนด์บ็อกซ์ และฟีเจอร์ชั้นสูงใหม่ๆ ในอนาคตอย่างการเรียนรู้ด้วยตนเองหรือ Machine Learningรวมถึงเทคนิคป้องกันอันตรายอื่นๆ ที่ Trend Micro กำลังพัฒนาขึ้นอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง

DS10_1

พัฒนาเทคนิคใหม่ๆ เข้ามาร่วมจัดการความปลอดภัยบนไฮบริดจ์คลาวด์อย่างต่อเนื่อง

Deep Security นั้นออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับการทำงานบนทั้ง VMware, AWS และ Microsoft Azureให้มีวิสัยทัศน์ต่อทั้งระบบอย่างเต็มที่ ทำให้ค้นหาและปกป้องเซิร์ฟเวอร์ต่างๆ ได้อย่างอัตโนมัติ Deep Security รุ่นใหม่นี้ได้เพิ่มการผสานการทำงาน และการจัดการต่างๆ มากมาย รวมถึง การลดเวลาในการเชื่อมต่อและลดเวลาที่ใช้ในการเพิ่มการให้ปกป้องกัน โหลดงานบน AWS และ Azure ที่เร็วขึ้น ร่วมกับการรองรับรูปแบบบัญชีผู้ใช้ของ Azure แบบใหม่ล่าสุดอย่าง Azure Resource Manager v2 (ARM)นอกจากนี้ยังมีการขยายความครอบคลุมมากกว่าโหลดงานบนเซิร์ฟเวอร์ธรรมดา ที่ปกป้องไปถึงคอนเทนเนอร์ Docker ด้วยการใช้เทคนิคที่ได้รับการพิสูจน์ว่าให้ผลดีอย่างแอนติมัลแวร์, IPS, และ Application Control ที่ปกป้องระบบแบบคอนเทนเนอร์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

“ปัจจุบัน การผสานการใช้เทคนิคที่หลากหลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการต่อกรกับอันตราย แต่บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องปรับตัวนำระบบความปลอดภัยใหม่ๆ มาใช้ให้ทันกับธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และระบบความปลอดภัยก็ต้องรองรับความคล่องตัว และความยืดหยุ่นของสถาปัตยกรรมปัจจุบันที่รวมถึงเวอร์ช่วลไลเซชั่นและคลาวด์ด้วย” ดันแคน บราวน์ ผู้ช่วยรองประธานด้านแนวปฏิบัติด้านความปลอดภัยของ IDC กล่าว “ด้วยการเปิดตัว Deep Security 10 ทำให้ Trend Micro สามารถผสานเทคนิคด้านความปลอดภัยที่มีการพัฒนาออกมามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ออกแบบเป็นพิเศษสำหรับปกป้องโหลดงานต่างๆ บนไฮบริดจ์คลาวด์ ร่วมกับความสามารถในวิสัยทัศน์ของระบบ จนกลายเป็นโซลูชั่นความปลอดภัยสำหรับเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ในตำแหน่งผู้นำส่วนแบ่งการตลาดในปัจจุบันได้”

“นอกจากการเข้าถึงและช่วยเหลือลูกค้าที่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่าง การรองรับการใช้คอนเทนเนอร์ Docker แล้ว Deep Security 10ยังได้ตอบสนองความต้องการในการซื้อระบบความปลอดภัยที่แตกต่างหลากหลายกันออกไปด้วย” บิล แมคกี รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไปด้านความปลอดภัยบนไฮบริดจ์คลาวด์ของ Trend Micro กล่าว “Deep Security มีทั้งในรูปของซอฟต์แวร์ปกติ, บริการผ่านคลาวด์แบบ as-a-service, ไปจนถึงการจำหน่ายเป็นแอพผ่านสโตร์ของ AWS และ Azure ทำให้องค์กรต่างๆ เลือกลงทุนได้ยืดหยุ่นอย่างไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งรวมถึงราคาต่อชั่วโมงการใช้งานที่เข้ากันได้ดีกับการทำงานบนคลาวด์”

“ลูกค้ารายสำคัญอย่างกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ และ NASA กำลังนำเทคโนโลยีเวอร์ช่วลไลเซชั่นและคลาวด์มาใช้เพื่อตอบสนองความต้องการขององค์กรอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น” ทาริคอัลฟี ผู้ก่อตั้งและประธานของXentIT กล่าว “Deep Securityให้การรองรับสภาพแวดล้อม และความต้องการที่หลากหลาย ที่เราจำเป็นต้องตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจอย่างรวดเร็วอันรวมไปถึงการปกป้องโหลดงานบนทั้งระบบฟิสิคอล, เวอร์ช่วล, และบนคลาวด์”

Deep Security 10 จะพร้อมให้บริการในช่วงเดือนมีนาคม 2560 นี้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Deep Security และระบบความปลอดภัยบนไฮบริดจ์คลาวด์ สามารถเข้าไปดูได้ที่ www.trendmicro.com/hybridcloud

อินโดนีเซียเปิดตัวระบบจัดการน้ำท่วมสุดไฮเทค

อินโดนีเซียเปิดตัวศูนย์บริหารจัดการภัยพิบัติสุดไฮเทค โดยเป็นผลงานความร่วมมือกับสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเสตต์ หรือ MIT แล้ว ในชื่อ “PetaBencana.id” โดยเป็นการดึงความสามารถของโซเชียลมีเดียมาผนวกเข้ากับแพลตฟอร์มการบริหารจัดการภัยพิบัติ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถแจ้งข่าวได้ผ่านทวิตเตอร์ และเทเลแกรม รวมถึงรายงานระดับน้ำได้แบบเรียลไทม์บนแผนที่ดิจิตอล

Picture

โดยเจ้าภาพจากอินโดนีเซียที่รับหน้าที่ดูแลโปรเจ็คนี้คือ Badan Nasional Penanggulangan Bencana (BNPB) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบการบริหารจัดการภัยธรรมชาติ ขณะที่สถาบัน MIT นั้นมี Urban Risk Lab รับหน้าที่ดูแลงานดังกล่าว โดยการพัฒนาแพลตฟอร์มนี้เป็นส่วนหนึ่งของ InAWARE ระบบสำหรับแจ้งเตือนและจัดหาข้อมูลเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจในกรณีที่เกิดภัยธรรมชาติที่อินโดนีเซียพัฒนาขึ้น

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมได้ที่  www.petabencana.id โดยแพลตฟอร์มดังกล่าวจะแสดงข้อมูลสถานการณ์น้ำบนเกาะชวา ซึ่งเป็นที่ตั้งของ 3 เมืองสำคัญเช่น กรุงจาการ์ตา เมืองสุราบายา (เมืองท่าที่ใหญ่เป็นอันดับสองของอินโดนีเซีย) และเมืองบันดุง (Bundung) ซึ่งถือเป็นเมืองที่ใหญอันดับ 4 ของประเทศได้อย่างสมบูรณ์ และจะนำมาใช้งานแทนแพลตฟอร์มเดิมอย่าง PetaJarkarta.org ด้วย ส่วนรีพอร์ตต่าง ๆ ที่ระบบเก่าอย่าง PetaJarkarta.org เคยทำไว้ก็จะโอนมาอยู่บนเว็บใหม่อย่าง www.petabencana.id ด้วยกัน

สำหรับชาวเมืองสามารถรายงานสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ได้แบบเรียลไทม์เข้ามายัง www.petabencana.id ได้ นอกจากนั้น แพลตฟอร์มดังกล่าวยังทำงานร่วมกับโซเชียลมีเดีย

ทำให้ผู้ใช้งานสามารถรายงานสถานการณ์น้ำผ่านทวิตเตอร์และเทเลแกรมได้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น ผู้ใช้งานที่ต้องการทวีตเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมสามารถทวีตไปยัง @petabencana ได้และติ #banjir ซึ่งจะมีบ็อทพายูสเซอร์รายนั้น ๆ ไปกรอกแบบฟอร์มให้โดยอัตโนมัติ หรือในเทเลแกรม ผู้ใช้สามารถส่งข้อความ “* / flood *” ไปยัง @bencanaBot และสามารถใส่คำบรรยายและภาพเกี่ยวกับสถานการณ์ได้ด้วย

“นอกจากทวิตเตอร์และเทเลแกรมแล้ว เรายังทำงานร่วมกับ Qlue, PasangMata Detik.com, Z-alerts  และพาร์ทเนอร์อื่น ๆ อีกมาก” ดร. Etienne Turpin ผู้อำนวยการของ PetaBencana.id กล่าว “โดยผู้ใช้งานสามารถรายงานผ่านแอปพลิเคชันเหล่านั้นได้ และข้อมูลจะถูกส่งมายังแผนที่ดิจิตอลของส่วนกลาง”

นอกจากแผนที่ที่รายงานสถานการณ์น้ำท่วมแล้ว แพลตฟอร์มยังสามารถแสดงระดับน้ำที่ประตูระบายน้ำและเครื่องสูบน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุดได้ด้วย ซึ่งอินโดนีเซียตั้งเป้าว่าจะพัฒนาแพลตฟอร์มอื่น ๆที่เกี่ยวกับภัยพิบัติเพิ่มเติมอีกในอนาคต เช่น การเตือนเรื่องภูเขาไฟระเบิด หรือแผ่นดินไหว

ที่มา http://www.computerworld.com.my

HOYA ใช้เทคโนโลยี 3D Printer ช่วยผลิตแว่นตาสั่งตัดให้เข้ากับรูปหน้าลูกค้า

ถือเป็นการบุกตลาดแว่นตาที่น่าสนใจกับนวัตกรรมของค่าย HOYA ที่เปิดตัวระบบ “Yuniku”  ระบบซึ่งสามารถสแกนภาพใบหน้าของลูกค้า และนำมาออกแบบเป็นแว่นตาที่เหมาะสมกับรูปหน้านั้น ๆ ทั้งตัวเลนส์และกรอบแว่น จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการผลิตด้วยเครื่องพิมพ์สามมิติ สร้างขึ้นมาเป็นตัวกรอบแว่นได้เลย

004 000

นวัตกรรมดังกล่าวเป็นความร่วมมือของ HOYA กับสตูดิโอด้านการออกแบบชื่อ Hoet และบริษัทผู้พัฒนานวัตกรรมชื่อ Materialise ซึ่งล่าสุดได้มีการเพิ่มพันธมิตรใหม่เข้ามาอีกหนึ่งรายนั่นคือ Aoyama Optical โดยทั้งหมดจะร่วมมือกันพัฒนาแว่นตาที่สามารถปรับแต่งได้ และผลิตด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติที่มีลักษณะการทำงานดังภาพที่ปรากฏ

ทั้งนี้ การพัฒนาดังกล่าวยังทำให้เห็นว่า เทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในชีวิตประจำวันของมนุษย์ ซึ่งการนำมาใช้กับสินค้ากลุ่มแฟชั่นเช่นแว่นตา ที่ไม่เพียงใส่แล้วบอกกับใคร ๆ ได้ว่า แว่นตานี้สร้างจากเทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติ แต่ยังสามารถบอกได้เต็มปากว่า แว่นตานี้ถูกออกแบบมาเพื่อ “ตััวฉัน” โดยเฉพาะอีกด้วย

001 003

Philipe Beuscart ซีอีโอของบริษัท Aoyama ให้ทัศนะว่า การผลิตจำนวนมากแบบยุคอุตสาหกรรม และแนวคิดแบบ One-size-fits-all นั้นไม่เพียงพออีกต่อไปแล้วสำหรับผู้บริโภคยุคนี้ การที่เราเสนอให้ลูกค้าสามารถปรับแต่งแว่นตาได้จะมีผลในแง่ของความพึงพอใจมากกว่า ซึ่ง Aoyama จะเสนอคอลเลคชั่นแว่นตาในลักษณะดังกล่าวออกสู่ตลาดทั้ง กลุ่มแมส และกลุ่มผู้บริโภคระดับบน

อย่างไรก็ดี มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงคลิปวิดีโอของบริษัทที่เปิดตัวเทคโนโลยีดังกล่าวว่ายังทำได้ไม่ดีนัก และอาจทำให้ผู้บริโภคสนใจในตัวเทคโนโลยีมากกว่าตัวโปรดักซ์อย่างแว่นตานั่นเอง

ที่มา https://3dprint.com

Cassie หุ่นยนต์ที่ได้ทุนจาก DARPA 1 ล้านเหรียญสหรัฐ

ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกาโชว์ผลงานการพัฒนาหุ่นยนต์เดินได้สองขาในชื่อ Cassie โดยได้รับเงินลงทุนจาก DARPA ถึง 1 ล้านเหรียญสหรัฐ

โดยทางทีมระบุว่า แรกเริ่มเดิมที ไอเดียในการพัฒนา Cassie ก็คือการสร้างหุ่นยนต์ที่ช่วยส่งสินค้าไปตามบ้าน ซึ่งเป็นปัญหาที่บริษัทเทคโนโลยี และบริษัทผู้พัฒนาหุ่นยนต์หลาย ๆ แห่งยังขบคิดหาวิธีในการจัดส่งสินค้าที่ดีที่สุดไม่ได้เลยในขณะนี้

001

แต่เทคโนโลยีของหุ่นยนต์ตัวนี้อาจก้าวไปไกลมากกว่าจะเป็นแค่หุ่นยนต์ส่งของ เพราะมันได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุน 1 ล้านเหรียญสหรัฐจาก DARPA หน่วยงานในสังกัดกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกา และเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่วิจัยและพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ เพื่อใช้ในการสงครามนั่นเอง

ด้วยเงินลงทุนดังกล่าว ทำให้ทีมพัฒนาแปรสภาพจากนักวิจัยในมหาวิทยาลัยมาเปิดบริษัทด้านโรโบติกส์ ชื่อ Agility Robotics ในที่สุด

Cassie เองก็มีรุ่นพี่ เป็นหุ่นยนต์ชื่อ ATRIAS ที่พัฒนาโดยทีมเดียวกัน ซึ่งเมื่อสองปีก่อน ATRIAS เคยออกมาสร้างเสียงฮือฮาด้วยการโชว์ความสามารถด้านการทรงตัวมาแล้ว แต่ข้อมูลจาก IEEE Spectrum ระบุว่า Cassie นั้นเหนือกว่าในแง่ของข้อต่อที่หมุนได้อิสระมากกว่า

002

ทั้งนี้ หากทางทีมพัฒนาสนใจสร้างหุ่นยนต์เพื่อการส่งของจริง ๆ ในตลาด ผลงานของบริษัทชื่อ Starship Technologies ที่พัฒนาหุ่นยนต์ขนส่งในรูปของกล่องสี่เหลี่ยมติดล้อ และเคลื่อนที่ได้อัตโนมัติไปจนถึงหน้าบ้านของผู้รับสินค้าอาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากกว่า และในงานแถลงข่าวของวงการ PropTech บางเจ้าในไทยก็มีการนำภาพของหุ่นยนต์ที่คล้าย ๆ กับหุ่นยนต์จาก Starship มาใช้ร่วมด้วยเช่นกัน

ส่วน Cassie นั้น หากพิจารณาจากชื่อของผู้ให้ทุนสนับสนุนแล้ว ดูท่าว่าคงจะไปอยู่ในวงการอื่นแล้วเป็นแน่แท้

ที่มา http://www.recode.net

แว่นตาอัจฉริยะปรับโฟกัสอัตโนมัติ สำหรับผู้มีปัญหาทางสายตาทุกระดับ

ต้องยอมรับว่าปัจจุบันมีหลายประเทศที่ทยอยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุกันแล้ว รวมถึงประเทศไทย ด้วยเหตุนี้ นวัตกรรมสำหรับผู้สูงอายุจึงอาจเป็นสิ่งที่น่าจะตอบโจทย์ความต้องการของโลกในอนาคตได้เป็นอย่างดี  ซึ่งปัญหาของผู้สูงอายุประการหนึ่งก็คือเรื่องของสายตา นักวิทย์จากมหาวิทยาลัยยูทาห์ จึงพัฒนาเลนส์ชนิดพิเศษสำหรับผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีความต้องการพิเศษด้านการมองเห็น ที่สามารถปรับโฟกัสได้โดยอัตโนมัติออกมาให้ได้ใช้งานกัน

ดาวน์โหลด

โดยนวัตกรรมด้านเลนส์สายตาดังกล่าว สามารถลดข้อจำกัดของแว่นในปัจจุบันที่ต้องแบ่งพื้นที่เป็นสองส่วน สำหรับผู้ที่มีปัญหาทั้งสายตาสั้นและยาวในคราวเดียว (โดยมากผู้ใช้งานมักเป็นผู้ที่มีอายุ 40 – 50 ปีขึ้นไป) ซึ่งแว่นแบบเดิมทำให้การมองเห็นไม่ค่อยสะดวก เพราะต้องคอยเลือกโซนว่าจะมองผ่านแว่นโซนไหนดี

สำหรับเทคนิคที่ทำให้เลนส์แบบใหม่สามารถปรับโฟกัสได้โดยอัตโนมัตินั้น ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยยูทาห์เผยว่า ได้ใส่สารกลีเซอรีน (ของเหลวใส ไม่มีสี) ลงไปที่ส่วนของด้านหน้าและด้านหลังของเลนส์ ทำหน้าที่คล้ายเป็นสารเคลือบและเป็นตัวสำคัญที่จะปรับโฟกัสให้กับแว่น ขณะที่กรอบแว่นมีก็เป็นที่บรรจุของสายไฟ แบตเตอรี่ และมิเตอร์อินฟราเรดสำหรับวัดระยะ จึงทำให้ดูเป็นกรอบแว่นที่เทอะทะอยู่พอสมควร

การทำงานของมันก็คือ เมื่อผู้สวมมองไปที่วัตถุใดวัตถุหนึ่ง มิเตอร์ดังกล่าวจะเป็นตัววัดระยะทาง และส่งข้อมูลไปให้กับส่วนหัวฉีดที่ควบคุมสารกลีเซนรีนอย่างรวดเร็ว เพียง 14 มิลลิวินาทีในการปรับโฟกัสจากภาพวัตถุหนึ่งไปยังอีกภาพวัตถุหนึ่ง ทำให้ผู้สวมสามารถมองเห็นวัตถุที่ต้องการได้อย่างชัดเจน โดยไม่ต้องใช้เลนส์แบบเก่าที่แบ่งเลนส์เป็นสองโซนอีกต่อไป
autofocus-eyeglasses-2017-01-30-03

ศาสตราจารย์ Carlos Mastrangelo (ขวา) และ Nazmul Hasan นักศึกษาปริญญาเอก ผู้ร่วมกันพัฒนาแว่นตาอัจฉริยะ

โดยทางผู้พัฒนาได้นำแว่นรุ่นโปรโตไทป์มาจัดแสดงในงาน CES 2017 ด้วย แต่แน่นอนว่า ด้วยตัวแว่นที่ไม่สวยงามนัก แถมมีขนาดใหญ่ ทำให้มันอาจยังไม่เป็นที่สนใจของผู้เข้าชมงาน  ซึ่งเป้าหมายของการพัฒนาแว่นดังกล่าวคือการออกแบบแว่นให้มีขนาดเล็ก และเบามากกว่านี้ พร้อมคาดว่าจะสามารถวางจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ได้ภายในสามปีข้างหน้า

อย่างไรก็ดี ไม่เฉพาะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยยูท่าห์เท่านั้นที่มุ่งมั่นพัฒนาเลนส์ดังกล่าว เพราะกูเกิลเองก็กำลังพัฒนาเลนส์ที่ปรับโฟกัสได้โดยอัตโนมัติเช่นกัน โดยเป็นความร่วมมือกับสตาร์ทอัปชื่อ Novatis เพียงแต่บริษัทออกมาบอกว่ายังไม่มีแผนจะทดสอบสิ่งประดิษฐ์ในช่วงนี้แต่อย่างใด

ที่มา https://www.engadget.com/

ฟูจิตสึเปิดตัวสแกนเนอร์อัจฉริยะ SP-1425 พร้อมลุยตลาดเอสเอ็มอี

พีเอฟยู เอเชีย แปซิฟิก พีทีอี ลิมิเต็ล (PAPL) หนึ่งในเครือบริษัทฟูจิตสึ เปิดตัวสแกนเนอร์รุ่นใหม่ในตระกูล SP*1 รุ่น SP-1425 แล้วในวันนี้ ซึ่งเป็นสแกนเนอร์ที่ได้รับการออกแบบโดยผสานจุดเด่นของการสแกนแบบปกติและการสแกนด้วย ADF*2 ชุดป้อนกระดาษอัตโนมัติเข้าด้วยกัน จึงทำให้สแกนเนอร์รุ่น SP-1425 นี้ใช้งานได้ง่าย มีประสิทธิภาพสูงและตอบโจทย์ด้วยการขนาดเล็กกะทัดรัดและน้ำหนักเบาที่สุด*3 เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์รายอื่นๆ ในตลาด และเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นทั่วไป SP-1425 ยังมีขนาดเล็กลงถึง 10% และจุดเด่นอีกมากมาย

image003

คุณจรัณยา อิ่มธนาสาร ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจในประเทศในกลุ่มผลิตภัณฑ์แพลตฟอร์ม บริษัท ฟูจิตสึ (ประเทศไทย) จำกัด  กล่าวว่า “SP-1425 ถือเป็นสแกนเนอร์ที่มีสแกนได้เร็วและมีประสิทธิภาพสูง ตอบโจทย์การใช้งานทางธุรกิจได้อย่างหลากหลาย ติดตั้งทั้งตัวป้อนกระดาษอัตโนมัติและการสแกนแนวราบปกติ จึงตอบโจทย์การแปลงเอกสารในออฟฟิศ หรือการประมวลผลแบบฟอร์มต่างๆ หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ แม้ขนาดกะทัดรัด แต่ SP-1425 ก็ให้คุณภาพของภาพได้อย่างเหมาะสม”

PFU เสริมให้ธุรกิจของคุณมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเคยด้วยผลิตภัณฑ์ในตระกูล fi ซึ่งเป็นสแกนเนอร์สำหรับงานเอกสารระดับมืออาชีพที่มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1* และผลิตภัณฑ์ในตระกูล SP ที่ตอบโจทย์ความคุ้มค่าสูงสุด มาพร้อมกับการใช้งานที่ง่ายและมีประสิทธิภาพการทำงานที่ตอบโจทย์

IMG_6407
คุณจรัณยา อิ่มธนาสาร ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจในประเทศในกลุ่มผลิตภัณฑ์แพลตฟอร์ม บริษัท ฟูจิตสึ (ประเทศไทย) จำกัด

ความสามารถหลักของ SP-1425

การจัดวางและใช้งานสแกนเนอร์

เนื้อที่บนโต๊ะทำงานไม่เพียงพอ ไม่ใช่ปัญหาของ SP-1425 อีกต่อไป ด้วยการออกแบบที่เล็กกะทัดรัดและคำนึงถึงการใช้งานที่สะดวก จึงทำให้สามารถและใช้งานได้ในทุกสภาพการทำงาน แม้ว่าพื้นที่นั้นมีจำกัด

–           สแกนได้ทั้งสองด้านของเอกสารในคราวเดียว

ด้วยถาดป้อนกระดาษอัตโนมัติ (ADF) ที่มาพร้อมฟังก์ชันการสแกนสองหน้า และผสานกับการสแกนแนวราบปกติ รวมไว้ในเครื่องเดียว

–           จัดวางได้ทุกพื้นที่

สามารถจัดวางสแกนเนอร์ไว้ในทุกพื้นที่ได้ตามความต้องการใช้งานทางธุรกิจของคุณ ไม่ว่าจะวางเพื่อสแกนเอกสารเพื่องานธุรการในสำนักงานหรืองานกรอกเอกสารแบบฟอร์มที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์

งานสแกนประสิทธิภาพสูง

ตอบโจทย์ทุกรูปแบบการสแกนแอกสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ด้วยสแกนเนอร์ที่มาพร้อมการสแกนแนวราบแบบปกติและถาดป้อนเอกสารอัตโนมัติ จึงรองรับการป้อนเอกสารได้ตามต้องการ ตอบโจทย์การสแกนเอกสารได้หลากหลายชนิด

–           ความเร็วในการสแกนเอกสารสูงถึง 25 หน้าต่อนาที / 50 ภาพต่อนาที

สามารถสแกนได้อย่างรวดเร็วด้วยโหมดการสแกนสองหน้าในระบบป้อนกระดาษอัตโนมัติ จึงให้ความเร็วได้ถึง 25 หน้าต่อนาที / 50 ภาพต่อนาที (เอกสารสี ขนาด A4 แนวตั้ง ความละเอียด 200dpi/300dpi)

–           ประสิทธิภาพสูง ผสานทั้งการสแกนแนวราบ และ ADF

ติดตั้งพร้อมชุดถาดป้อนกระดาษอัตโนมัติและการสแกนแนวราบแบบปกติ จึงช่วยให้ SP-1425 สามารถสแกนเอกสารได้หลากหลายชนิด ทั้งงานสแกนเอกสารเป็นแผ่นแบบต่อเนื่องไปจนถึงงานสแกนนามบัตร บัตรพลาสติกหรือสมุดพาสสปอร์ต

–           รองรับซอฟต์แวร์โซลูชันเพื่อการสแกนได้หลากหลาย

รองรับซอฟต์แวร์ได้หลากหลายเพื่อใช้งานร่วมกับระบบธุรกิจของคุณ ช่วยให้คุณสามารถตอบโจทย์การใช้งาน เพิ่มประสิทธิภาพและสร้างประสิทธิผลให้กับธุรกิจได้มากขึ้น

มาพร้อมซอฟต์แวร์ใช้งาน

ซอฟต์แวร์ที่จำเป็นเพื่อใช้งานสำหรับธุรกิจของคุณมาพร้อมสแกนเนอร์ อินเทอร์เฟสการใช้งานที่เข้าใจง่ายและฟีเจอร์การประมวลผลภาพชั้นสูง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับคุณ ให้คุณทำงานได้มากกว่าเคย

–           PaperStream IP for SP Series ซอฟต์แวร์ประมวลผลภาพความคมชัดสูงแบบอัตโนมัติ

PaperStream IP for SP Series เป็นซอฟต์แวร์ประมวลผลภาพชั้นยอดเยี่ยม ด้วยไดร์เวอร์ของสแกนเนอร์รองรับ TWAIN/ISISTM จึงช่วยให้สามารถแปลงเอกสารที่หลากหลายให้กลายเป็นภาพที่มีคุณภาพสูงได้ง่าย โดยไม่จำเป็งต้องกำหนดค่าหรือเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าชนิดหรือเงื่อนไขของเอกสารใดๆ คุณภาพของภาพที่ดีสามารถส่งต่อให้กับกระบวนการประมวลผลภายหลังที่ดีได้เช่น การประมวลผล OCR

–           PaperStream Capture Lite เพื่องานสแกนที่ทำต่อเนื่องเป็นประจำ

เชื่อมต่อการทำงานร่วมกับ PaperStream IP for SP Series ได้อย่างลงตัวผ่านการใช้งาน PaperStream Capture Lite ซึ่เงป็นแอพพลิเคชันสำหรับการสแกนเอกสาร ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้งานขึ้น ตอบโจทย์การทำงานประจำวัน เช่น การสแกนเอกสารต่อเนื่อง และมาพร้อมกับอินเทอร์เฟสการสั่งงานที่เข้าใจง่าย ทั้งสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปและสำหรับผู้ดูแลระบบ ตอบโจทย์ประสิทธิภาพทางธุรกิจให้สูงยิ่งขึ้น

–           ค้นหาเอกสารได้ง่ายด้วย ABBYYTM FineReaderTM Sprint

ด้วยแอพพลิคชันประมวลผลข้อความ OCR ที่แปลงเอกสารภาพที่สแกนด้วย SP-1425 สู่เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ในฟอร์แมต Word/Excel โดยทำงานเพียงครั้งเดียวจากภาพที่สแกนสู่เอกสารในฟอร์แมตที่ต้องการ ช่วยให้งานแก้ไขเอกสารเป็นเรื่องง่ายไม่ยุ่งยากซับซ้อนเหมือนฟอร์แมต PDF ตอบโจทย์ธุรกิจได้มากกว่า

ทั้งนี้ PFU Limited, บริษัทในเครือฟูจิตสึ ลิมิเต็ต ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนด้านการออกแบบ การพัฒนา การผลิตต่างๆ ชิ้นส่วนอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ สินค้าเพื่อต่อพ่วงกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เอ็นเตอร์ไพรซ์ซอฟแวร์ และระบบต่างๆในตลาดระดับโลกซึ่งมูลค่ากว่าพันล้านเหรียญ PFU คือหนึ่งในผู้นำการผลิดเครื่องแสกนเนอร์เพื่องานเอกสารซึ่งนำเสนอการการใช้งานเครื่องแสกนเนอร์เอกสาร ส่วนบุคคล ตั้งโต๊ะ เป็นกลุ่มและการผลิตจำนวนมากอย่างมืออาชีพ PFU ได้นำเสนอเครื่องแสกนเนอร์รูปภาพเพื่องานธุรกิจในวงการมากว่20 ปี

สตาร์ทอัปออสเตรเลียผุด VR Content “โบราณสถาน” ระดมทุนได้กว่า 24 ล้านบาท

ถือเป็นผลงานการประดิษฐ์ที่อาจทำให้นักโบราณคดีหลายคนต้องร้องว้าว เมื่อมีสตาร์ทอัปสัญชาติออสเตรเลียรายหนึ่งดึงเทคโนโลยี Virtual Reality นำมาสร้างภาพจำลองของโบราณสถานให้กลับมามีชีวิตขึ้นใหม่อีกครั้ง

โดยชื่อของสตาร์ทอัปรายนี้คือ Lithodomos VR และบริษัทสามารถระดมทุนได้ถึง 900,000 เหรียญออสเตรเลีย หรือประมาณ  24 ล้านบาทเพื่อใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวเลยทีเดียว

Lithodomos-VR-Arene-de-Lutece-Promo-Image-2-930x620
ทั้งนี้ การสร้างโบราณสถานขึ้นมาใหม่ในรูปแบบของ VR นั้นทำให้ได้ประโยชน์หลายทาง ไม่ว่าจะเป็นด้านการท่องเที่ยว การศึกษา หรืออุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น บันเทิง ส่งผลให้สตาร์ทอัปรายนี้มีลูกค้าในหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ในสเปน การทำวิดีโอให้กับงาน Berlin Film Festival  เป็นต้น

ผู้ก่อตั้งบริษัทนี้คือ Simon Young ปัจจุบันเขาเพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ทีมงานของสตาร์ทอัปแห่งนี้ประกอบไปด้วย นักโบราณคดี โปรแกรมเมอร์ และนักผลิตคอนเทนต์ ผลงานของบริษัทคือการสร้างแหล่งอารยธรรมโบราณซึ่งคาดว่าจะเป็นที่สนใจของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ มากมาย รวมถึงบริษัทฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ด้วย

“ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน เราเติบโตจากบริษัทที่มีแค่ไอเดียในการทำ VR Content มาสู่การเป็นบริษัทที่ผลิตและจัดจำหน่าย VR Content แบบเต็มรูปแบบ โดยมีพนักงานเพียง 9 คนเท่านั้น” Young กล่าว

Lithodomos-VR-Arene-de-Lutece-Promo-Image-1-800x533

โดยในตอนนี้ Lithodomos VR ยังมีแผนจะขยายบริการไปสู่สหภาพยุโรปด้วย

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแอปพลิเคชันให้ดาวน์โหลดไปเล่นฟรีในชื่อ  Ancient World in VR สำหรับ Google Play และแอปพลิเคชันแบบเสียเงินในชื่อ  Ancient Jerusalem in VR (รองรับทั้ง iOS และแอนดรอยด์)

เห็นแบบนี้แล้วน่าเอามาพัฒนาใช้กับโบราณสถานของไทยบ้าง…

ที่มา http://venturebeat.com/

AI สุดไฮเทคสามารถสร้างภาพใบหน้าจำลองจากภาพเบลอ

สำหรับอาชญากรที่มักได้ใจเสมอเวลาก่อเหตุอาชญากรรมแล้วภาพในกล้องวงจรปิดเบลอจนดูไม่ออกว่าเป็นใคร ขอบอกว่าอย่าประมาท AI จากกูเกิล เพราะล่าสุด AI สุดไฮเทคสามารถสร้างภาพใบหน้าจำลองจากภาพเบลอ ๆ นั้นได้แล้ว แถมยังใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากเสียด้วย

โดยความสามารถของ AI ในครั้งนี้เป็นการจับมือกันของ AI สองระบบที่สร้างโดยทีมงานของ Google Brain ซึ่งไม่เพียงแต่เพิ่ม Resolution ของภาพจากภาพเบลอ ๆ ขนาด 8 x 8 พิกเซลให้กลายเป็นภาพขนาด 32 x 32 พิกเซลได้แล้ว AI ยังสามารถเติมส่วนที่ขาดหายไปให้กับภาพได้ด้วย

google brain

ความสามารถที่เพิ่มขึ้นมานี้ นักวิทยาศาสตร์ของ Google Brain เผยผ่านงานวิจัยชื่อ Pixel Recursive Super Resolution ว่า ได้มีการฝึกระบบด้วยภาพจำลองใบหน้าของเซเลบ และภาพของห้องนอน ขนาด 8 x 8 พิกเซลต่อตารางนิ้วให้ AI ได้ทดสอบ

โดย AI ตัวแรกจะวิเคราะห์ว่าภาพที่มันเห็นนั้นเป็นภาพห้องนอน หรือภาพใบหน้าคน จากนั้นเมื่อวิเคราะห์ได้แล้ว มันจะสร้างภาพใหม่ขนาด 32 x 32 พิกเซลต่อตารางนิ้วขึ้นมาด้วย ซึ่งในระหว่างการสร้างภาพใหม่ขึ้นมานั้น ระบบจะค่อย ๆ แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากภาพที่ไม่สามารถระบุอะไรได้เลย กลายเป็นภาพใบหน้า หรือภาพห้องนอนที่ชัดเจนมากขึ้นจนสามารถมองเห็นได้ในรายละเอียด

เมื่อ AI ตัวแรกทำงานของมันเสร็จ ก็ถึงเวลาของ AI ตัวที่สองอย่าง PixelCNN (https://github.com/openai/pixel-cnn) มาเพิ่มพิกเซลที่ขาดหายไปลงในภาพใหม่ให้ โดยมันจะใช้ข้อมูลที่มันรู้ในการพิจารณาเติมสีลงในภาพใหม่ เช่น บริเวณปากก็จะเลือกสีชมพู หรือสีแดงเพื่อใช้เป็นแทนสีลิปสติก

002

ความสามารถดังกล่าวนี้ได้ทำให้มีการคาดการณ์กันว่า อาจมีการนำเทคโนโลยีดังกล่าวไปพัฒนาเพิ่มเติมให้สามารถเพิ่มรายละเอียดลงในภาพหรือวิดีโอที่ความละเอียดต่ำ  เช่นกรณีของกล้อง CCTV ให้เป็นภาพที่ชัดขึ้นได้

อย่างไรก็ดี ภาพที่สร้างโดย AI อาจทำให้หลายคนร้องว้าว แต่ในความเป็นจริงมันก็คือการ “คาดการณ์ความน่าจะเป็น” ซึ่งแนวทางในการสร้างภาพในลักษณะนี้ยังคงต้องพัฒนากันต่อไป โดยอาจใช้ภาพจากฐานข้อมูลอื่น ๆ มาให้ AI ได้ทดสอบมากขึ้น

ที่มา http://www.wired.co.uk

“U-Safe”ห่วงยางช่วยชีวิตควบคุมด้วยรีโมตคอนโทรล

โปรตุเกสพัฒนาอุปกรณ์การช่วยชีวิตสำหรับผู้ประสบภัยทางน้ำช้ินใหม่สุดคูล ในรูปของห่วงยางที่มาพร้อมรีโมตคอนโทรล สามารถแล่นไปช่วยผู้ประสบภัย และพากลับเข้าฝั่งได้อย่างปลอดภัย

U-Safe-Noras-Performance-new-remote-controlled-life-buoy

 บริษัทเจ้าของผลงานชิ้นนี้มีชื่อว่า Noras Performance กับห่วงยางรูปทรงตัวยูในชื่อ “U-Safe” ซึ่งความพิเศษของห่วงยางนี้คือช่วยให้ผู้ประสบภัยทางน้ำสามารถฉวยจับได้ง่าย รวมถึงเกาะห่วงยางเพื่อกลับเข้าฝั่งได้อย่างสะดวก

โดยเมื่อโยนห่วงยางลงไปในน้ำ ก็เปรียบเสมือนเรือดี ๆ ลำหนึ่งที่ผู้ควบคุมสามารถใช้รีโมตคอนโทรลควบคุมทิศทางการแล่นของห่วงยางได้อย่างอิสระ และสามารถควบคุมได้แม้ในสภาพอากาศที่เลวร้าย หรือกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากเนื่องจากทีมพัฒนาใส่แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ให้กับมันด้วย เมื่อไปถึงตัวผู้ประสบภัยได้สำเร็จแล้ว ทีมงานก็เพียงบังคับให้ห่วงยางแล่นกลับมายังฝั่ง หรือเรือช่วยเหลือเท่านั้น แค่นี้ก็สามารถรักษาชีวิตผู้ประสบภัยได้แล้ว โดยที่ทีมงานเองก็ปลอดภัยกันทุกคนด้วย

https://www.youtube.com/watch?v=detOe6vLxiI

ด้านบริษัทผู้พัฒนาเผยว่า ขณะนี้กำลังจดสิทธิบัตรและอยู่ระหว่างการออกแบบใหม่โดยจะมีการเลือกใช้วัตถุดิบใหม่ที่ช่วยให้มันเคลื่อนที่ในน้ำได้รวดเร็วขึ้น จะได้มีโอกาสในการช่วยชีวิตผู้ประสบภัยได้มากขึ้นนั่นเอง

 ที่มา : https://www.springwise.com

You may have missed